กต.แถลง กัมพูชายุประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ย้ำไทยทำตามดีลหยุดยิงเคร่งครัด

กระทรวงการต่างประเทศแถลง กัมพูชายั่วยุประชาชนประท้วงเจ้าหน้าที่ไทย ใช้พลเมืองเป็นโล่มนุษย์ ย้ำไทยทำตามดีลหยุดยิงเคร่งครัด และยึดมั่นแนวทางสันติมาโดยตลอด
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงพัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กรณีการประท้วงของประชาชนกัมพูชาบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ย้ำ ฝ่ายไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดทุกประการ และว่าการประท้วงของชาวบ้านเป็นผลมาจากการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชา
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 มีกลุ่มคนกัมพูชามากกว่า 200 คนประท้วงและรื้อถอนสิ่งกีดขวางของฝ่ายไทยที่มีเป้าหมายเสริมความมั่นคง บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้วในพื้นที่ของไทย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของไทยจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายไทยในหลายมาตรา หลังจากนั้นฝ่ายกัมพูชาได้ส่งหนังสือถึงผู้นำประเทศต่าง ๆ รวมถึงนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนและเลขาธิการสหประชาชาติ
อธิบดีนิกรเดช กล่าวว่า นับตั้งแต่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดทุกประการมาโดยตลอด แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ฝ่ายกัมพูชายังคงทำการยั่วยุในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งขัดต่อเงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์ความวุ่นวายที่บ้านหนองหญ้าแก้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 เป็นผลจากการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชา
นิกรเดช กล่าวว่า การวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคงเป็นการดำเนินการในพื้นที่อธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน ขณะที่เจ้าหน้าที่ของไทยได้แสดงความอดกลั้นอย่างสูงสุดต่อการยั่วยุดังกล่าวและใช้เวลาชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนกัมพูชา แต่ก็ไม่เป็นผล จนในที่สุด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนของไทยจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุตามหลักสากล โดยใช้มาตรการที่ได้สัดส่วน มีความเหมาะสม และเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ยกระดับไปสู่ความรุนแรงการปลุกระดมและยั่วยุให้ประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงและก่อความไม่สงบของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าว เป็นการนำประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ไร้มนุษยธรรม ขาดความรับผิดชอบ ไม่สร้างสรรค์ และไม่ยึดถือผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง
โฆษกย้ำ การวางรั้วลวดหนามหรือสิ่งกีดขวางในพื้นที่อธิปไตยของไทยบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้วเป็นไปเพื่อป้องกันการปะทะและเพื่อความปลอดภัยของประชาชนของทั้งสองฝ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินบนเส้นทางแรกที่จะนำไปสู่ความสูญเสีย และเป็นการเลือกเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพตามจิตวิญญาณของข้อตกลงหยุดยิงปูตราจายา และว่าไทยผิดหวังที่กัมพูชายังคงเลือกเดินบนเส้นทางแห่งความขัดแย้งและไม่ต้องการเห็นสันติภาพอย่างแท้จริง เพราะการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการปลุกระดมประชาชนให้กระทำการต่อต้านเจ้าหน้าที่ของไทย การแถลงข่าวบิดเบือนความจริง หรือการที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชามีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้นำประเทศและองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ สะท้อนการเตรียมการจัดฉากล่วงหน้า สร้างสถานการณ์เพื่อนำไปฟ้องต่อประชาคมระหว่างประเทศ เป็นการดำเนินการที่ไม่สร้างสรรค์ และขาดความสุจริตใจของฝ่ายกัมพูชา
นอกจากนี้ การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาสวนทางกับจิตวิญญาณ (spirit) ของข้อตกลงหยุดยิงปูตราจายา ซึ่งย้ำการมีช่องทางการหารือทวิภาคีในทุกระดับและก็เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ได้ออกมาย้ำอีกครั้งเมื่อช่วงค่ำของเมื่อวาน (18 กันยายน 2568)
ขณะเดียวกันฝ่ายไทยได้ดำเนินการตอบโต้เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วในทุกระดับและทุกเมื่อ โดยยึดหลักฐานเชิงประจักษ์และหลักการสากล เช่น ในกรณีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติล่าสุดที่กล่าวอ้างว่า ไทยขับไล่ชุมชนชาวกัมพูชาจากพื้นที่ไทยนั้น ฝ่ายไทยได้ชี้แจงมาโดยตลอดว่า การบริหารพื้นที่ดังกล่าวที่เป็นที่ลี้ภัยของฝ่ายกัมพูชาในอดีตเป็นการดำเนินการที่มีความชอบธรรม และการดำเนินการบนพื้นฐานของหลักการมนุษยธรรมร่วมกับองค์การสหประชาชาติมาโดยตลอด โดยไทยและกัมพูชาก็มีกลไกการหารือระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดของสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อคลี่คลายความเข้าใจผิดและประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องต่อไป
นิกรเดช ยืนยันไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยสันติวิธีบนพื้นฐานของกฎหมายไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และหลักการสากล โดยใช้ช่องทางและกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) หรือคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) รวมถึงกลไกที่จัดตั้งหรือกำลังจะจัดตั้งขึ้นตามมติของที่ประชุม GBC หรือ RBC ที่ผ่านมา
ไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประชุมตามกลไกทวิภาคีที่กำลังดำเนินอยู่ข้างต้นและเวทีการประชุมระหว่างประเทศหลากหลายเวทีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 ที่นครนิวยอร์ก การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่เมืองคยองจู จะเป็นโอกาสในการพิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจของฝ่ายกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ย้ายหนีไปจากกันไม่ได้
ดังนั้น ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และความไว้เนื้อเชื่อใจนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความจริงใจต่อกัน ซึ่งความจริงใจนี้เองเป็นพื้นฐานและจิตวิญญาณของข้อตกลงหยุดยิงปูตราจายา ที่จะนำทั้งสองประเทศไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ไทยจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติพฤติกรรมตามเส้นทางของความขัดแย้ง รวมถึงการกระทำใด ๆ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการลดความตึงเครียดและการหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ






