ไขปมแรงงานเกาหลีถูกจับ 'ผิดที่พนักงาน' หรือ 'วีซ่าสหรัฐกำกวม' ?

ไขปมแรงงานเกาหลีถูกจับ 'ผิดที่พนักงาน' หรือ 'วีซ่าสหรัฐกำกวม' ?

รอยเตอร์สสัมภาษณ์บริษัทแอลจี ไขปมปัญหาแรงงานเกาหลีถูกจับในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ฮุนได ในรัฐจอร์เจีย สหรัฐ ความจริงแล้ว "ผิดที่พนักงาน" หรือ "วีซ่าสหรัฐกำกวม" ?

KEY

POINTS

  • บริษัทแอลจีแนะนำให้พนักงานใช้ระบบยกเว้นวีซ่า (ESTA) เพื่อหลีกเลี่ยงการขอวีซ่าธุรกิจ (B-1) ที่มีอัตราการถูกปฏิเสธสูง และยังแนะนำให้เลี่ยงใช้คำว่า "ทำงาน" ในการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
  • เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่าสาเหตุการจับกุมมาจากการที่แรงงานทำกิจกรรมเกินขอบเขตของวีซ่า หรือพำนักเกินระยะเวลาที่กำหนด
  • ทนายความของแรงงานโต้แย้งว่ากิจกรรมที่ทำ เช่น การติดตั้งเครื่องจักรและฝึกอบรมพนักงานท้องถิ่น ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้เงื่อนไขของ ESTA และวีซ่า B-1
  • ปัญหาการขอวีซ่าธุรกิจ (B-1) ที่มักถูกปฏิเสธ เป็นปัญหาที่บริษัทเกาหลีใต้เผชิญมานาน ทำให้ต้องหันไปพึ่งพาระบบ ESTA ที่มีความเสี่ยงและข้อจำกัด
  • แอลจียืนยันว่ากิจกรรมของพนักงานอยู่ในขอบเขตที่วีซ่าอนุญาต และได้ร้องขอให้สหรัฐฯ พิจารณาวีซ่าประเภทใหม่เพื่อแก้ปัญหาความกำกวม

รอยเตอร์สอ้างอิงเอกสารภายใน พบว่า บริษัทแอลจี เอ็นเนอร์จี โซลูชัน ของเกาหลีใต้ให้แรงงานขอวีซ่าผ่านระบบยกเว้นวีซ่าของสหรัฐมานานแล้ว ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และรัฐบาลของเขาจะดำเนินการปราบปรามผู้อพยพเข้มงวด จนนำไปสู่การจับกุมแรงงานบริษัทแอลจีนับร้อย

แอลจีเริ่มพึ่งพาโครงการยกเว้นวีซ่ามาตั้งแต่สมัยผู้นำคนก่อนทรัมป์ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่บริษัทเกาหลีใต้เผชิญมานานเกี่ยวกับการขอวีซ่าระยะสั้นให้ผู้เชี่ยวชาญที่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานในโรงงานไฮเทคในสหรัฐ

เอกสารของแอลจี เดือน ส.ค. 2023 ที่รอยเตอร์สได้เห็น ระบุว่า บริษัทได้ชี้แนะให้พนักงานและผู้รับเหมาใช้ระบบอนุมัติการเดินทางแบบอิเล็กทรอนิกส์ระยะสั้น (Electronic System for Travel Authorization) เพื่อหลีกเลี่ยงขั้นตอนการขอวีซ่าประเภทธุรกิจ หลังการยื่นขอวีซ่าประเภทดังกล่าวจำนวนมากถูกปฏิเสธ

จากการบุกตรวจค้นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ของฮุนได มอเตอร์ในรัฐจอร์เจีย ช่วงต้นเดือน ก.ย. มีแรงงานถูกจับกุมมากกว่า 300 คน รวมถึงพนักงานของแอลจี 250 คน และการเผยแพร่ภาพแรงงานชาวเกาหลีถูกจับกุมพร้อมโซ่คล้องมือและเท้า เป็นภาพที่สะเทือนใจชาวเกาหลีใต้อย่างมาก

แอลจีแนะพนักงานใช้ระบบ ESTA โดยตรง

การใช้ระบบยกเว้นวีซ่า ESTA แทนการขอวีซ่า B-1 หรือวีซ่าทำงานประเภทอื่น ตอกย้ำถึงความเสี่ยงของบริษัทเกาหลีใต้ที่ไปตั้งโรงงานในสหรัฐในขณะที่ประเทศพยายามหลีกเลี่ยงภาษีทรัมป์ และส่งแรงงานที่มีทักษะไปสนับสนุนการขยายธุรกิจ และเกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด

ในข้อมูลแนวทางการขอวีซ่าไปสหรัฐของบริษัทแอลจี ได้อ้างถึงการปฏิเสธวีซ่าธุรกิจ B-1 ที่ชาวเกาหลียื่นขอ จึงแนะนำเลือกระบบยกเว้นวีซ่า ESTA ทั้งยังแนะวิธีการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐ โดยบอกว่าให้แต่งตัวเรียบร้อย และนำจดหมายเชิญจากพันธมิตรทางธุรกิจในสหรัฐไปด้วย และเตือนให้เลี่ยงพูดคำว่า “ทำงาน” ในการสัมภาษณ์ เนื่องจากอาจทำให้ดูน่าสงสัย และเสี่ยงถูกปฏิเสธเข้าประเทศ

อย่างไรก็ดี แอลจีได้เตือนอีกว่า การใช้ระบบยกเว้นวีซ่า ESTA เข้าสหรัฐบ่อยครั้ง และพำนักนาน 2-3 เดือนต่อการเยือน 1 ครั้ง อาจถูกปฏิเสธเข้าประเทศได้เช่นกัน

ฝ่ายเจ้าหน้าที่สหรัฐ เผยว่า การจับกุมแรงงานเกาหลีล่าสุดนั้นมีสาเหตุมาจากแรงงานทำกิจกรรมที่เกินขอบเขตของวีซ่า หรือการพำนักเกินระยะเวลาที่กำหนด

ด้านทนายความสำหรับผู้อพยพ ซึ่งเป็นตัวแทนของแรงงานแอลจีที่ถูกจับกุมบอกว่าแรงงานทำกิจกรรมที่ได้รับอนุญาติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แอลจีกล่าวกับรอยเตอร์สว่า บริษัทแนะนำให้พนักงานใช้ระบบ ESTA สำหรับการเดินทางธุรกิจ เนื่ององจากวีซ่า B-1 มีอัตราการปฏิเสธสูง และการถูกปฏิเสธวีซ่า B-1 จะทำให้ไม่สามารถขอเข้าสหรัฐด้วยระบบ ESTA ได้

แอลจีเผยอีกว่า เมื่อเดือนมี.ค. ปีก่อน บริษัทได้อัปเดตแนวทางใหม่ แนะนำให้พนักงานใช้ ESTA สำหรับการพำนักในสหรัฐระยะสั้น หรือการไปทำงานแค่ครั้งเดียวที่ใช้เวลาน้อยกว่า 1 เดือน และให้ยื่นวีซ่า ESTA, B-1 หรือ L-1 วีซ่า สำหรับทริปที่ไปสหรัฐราว 1-6 เดือน

ทั้งนี้ ESTA จะอนุญาตให้ผู้ขอวีซ่าพำนักในสหรัฐได้ 90 วัน ครึ่งหนึ่งของการขอวีซ่า B-1 แต่ทั้งสองวีซ่าจำกัดประเภทงานและไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ซ้ำ

แรงงานยื่นวีซ่าถูกแล้ว?

ฮัน จองแอ สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้กล่าวว่า แรงงานเกาหลีที่ถูกจับกุมราวครึ่งหนึ่งคือ ผู้ที่ใช้ ESTA ซึ่งมีแรงงานแอลจีเลือกใช้วีซ่านี้ 44%

ขณะที่คำแนะนำจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุว่า ผู้ถือวีซ่าธุรกิจชั่วคราวสามารถ “ติดตั้ง บริการ หรือซ่อมแซมอุปกรณ์หรือเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ที่ซื้อจากบริษัทนอกสหรัฐ หรือฝึกอบรมคนงานในสหรัฐเพื่อดำเนินการบริการดังกล่าว”

ทนายความผู้อพยพบอกว่า กิจกรรมดังกล่าว รวมถึงการฝึกอบรมแรงงานก่อสร้างในสหรัฐ ได้รับสิทธิให้ทำได้ภายใต้ระบบ ESTA หรือวีซ่า B-1

แอลจีบอกกับรอยเตอร์สว่า พนักงานที่เดินทางไปทำธุรกิจมีหน้าที่รับผิดชอบการติดตั้งเครื่องจักรที่ผลิตนอกสหรัฐ และจัดเตรียมเครื่องจักรเพื่อให้กระบวนการผลิตมีเสถียรภาพตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ที่จำเป็นให้กับพนักงานในท้องถิ่น” และย้ำว่ากิจกรรมเหล่านี้อยู่ภายใต้ข้อกำหนด ESTA หรือวีซ่า B-1

อย่างไรก็ตาม ทนายความผู้อพยพบอกว่า การที่แรงงานชาวเกาหลีใต้บางคนใช้ ESTA พำนักในสหรัฐสูงสุดสามเดือน และจากนั้นเลือกใช้ระบบนี้อีกครั้งเมื่อต้องกลับไปทำงานต่อ มีความเสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธเข้าประเทศ

ทางออกปัญหาวีซ่า

แอลจีจึงได้ขอให้สหรัฐพิจารณาเปิดวีซ่าใหม่อีกประเภท เนื่องจากการขอวีซ่า B-1 และการใช้ระบบ ESTA มักถูกปฏิเสธแม้จะแรงงานมีจุดประสงค์การเดินทางที่สอดคล้องกับข้อกำหนดวีซ่า

ทางการเกาหลีใต้รายงานเมื่อวันอาทิตย์ (14 ก.ย.) ว่า คริสโตเฟอร์ แลนเดา รองเลขาธิการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์บุกจับแรงงานในครั้งนี้ และเรียกร้องให้วอชิงตันและโซล เร่งปรึกษาหารือในระดับปฏิบัติการ เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีการออกวีซ่าที่สอดคล้องกับการมีส่วนร่วมของแรงงานเกาหลีใต้

ด้านรัฐบาลทรัมป์ได้ส่งสัญญาณแล้วว่าจะแก้ไขนโยบายวีซ่าเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการลงทุนของเกาหลีใต้