‘จีน’ ใช้ถั่วเหลืองกดดัน ‘สหรัฐ’ หยุดซื้อในรอบ 30 ปี หวังต่อรองการค้า

‘จีน’ กดดัน ‘สหรัฐ’ ใช้ภาคการเกษตรเป็นไพ่ต่อรอง หยุดซื้อ 'ถั่วเหลือง' ในรอบ 30 ปี ฉุดราคาดิ่งหนักกระทบเกษตรกรชาวอเมริกันฐานเสียงทรัมป์ จับตาเจรจาการค้าปลายปี
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การค้า “ถั่วเหลือง” กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในเกมการเมืองระหว่างสองมหาอำนาจ เมื่อ “จีน” ตัดสินใจไม่ซื้อถั่วเหลืองจาก “สหรัฐ” ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบอย่างน้อย 30 ปี การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าจีนกำลังใช้ภาคการเกษตรเป็นเครื่องต่อรองในการเจรจาทางการค้าที่ตึงเครียดกับสหรัฐ
จีนหยุดซื้อ ‘ถั่วเหลือง’ จากสหรัฐ
ผู้ซื้อชาวจีนจะสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐล่วงหน้าหลายสัปดาห์ในช่วงระหว่างเดือนต.ค.ถึงก.พ. เพื่อล็อกราคาที่ถูกกว่าและรักษาปริมาณสินค้าก่อนที่ผลผลิตจากอเมริกาใต้จะออกสู่ตลาด แต่ด้วยความตึงเครียดทางการค้าและภาษีตอบโต้ที่ยังคงอยู่ ผู้นำเข้าชาวจีนจึงตัดสินใจหลีกเลี่ยงการสั่งซื้อจากสหรัฐเพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) เผยว่าจีนยังไม่มีการสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐเลยแม้แต่รายการเดียว นับตั้งแต่เริ่มฤดูกาลการตลาดใหม่เมื่อเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบอย่างน้อย 25 ปีที่มีการบันทึกข้อมูลไว้
ปีที่ผ่านมา จีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของถั่วเหลืองสหรัฐ โดยนำเข้าคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับประมาณ 1 ใน 5 ของการนำเข้าถั่วเหลืองทั้งหมดของจีน และมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดส่งออกถั่วเหลืองรวมของสหรัฐ
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการที่จีนระงับการสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่าจีนมีคลังสำรองเพียงพอและพร้อมที่จะใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นเครื่องต่อรองในการเจรจาการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เตรียมเจรจากับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยประเด็นหลักในการเจรจาจะมุ่งเน้นไปที่ข้อจำกัดด้านเซมิคอนดักเตอร์และแร่ธาตุหายาก
นักวิเคราะห์ด้านการเกษตรจาก Trivium China กล่าวว่า “กลยุทธ์ของจีนในเรื่องถั่วเหลืองคล้ายคลึงกับกลยุทธ์ที่ใช้กับแร่ธาตุหายาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนที่รอบคอบมานานหลายปี”
กระทบฐานเสียง ‘ทรัมป์’
กลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรชาวสหรัฐ ซึ่งกำลังเผชิญกับราคาผลผลิตที่ตกต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกมาเตือนถึง “วิกฤตการค้าและการเงิน” และเรียกร้องให้รัฐบาลบรรลุข้อตกลงกับจีนเพื่อยกเลิกภาษีนำเข้า
ในทางกลับกัน ฝั่งผู้ผลิตในจีนซึ่งเคยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งแรก ได้มีการเตรียมการรับมืออย่างดี โดยได้หันไปพึ่งพาแหล่งผลิตจากบราซิลมานานหลายเดือน และเพิ่มปริมาณสำรองวัตถุดิบเป็น 2 เท่า ทำให้จีนมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการไปจนถึงช่วงต้นปี 2569 ดังนั้นจึงยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการสั่งซื้อจากสหรัฐ
‘ภาคการเกษตร’ ไพ่ใบสำคัญในการเจรจาการค้า
กลยุทธ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ถั่วเหลืองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธัญพืชอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน โดยจีนได้ลดการซื้อข้าวโพด ข้าวสาลี และข้าวฟ่างจากสหรัฐในฤดูกาลใหม่ ซึ่งการที่จีนหันไปพึ่งพาแหล่งผลิตอื่น เช่น บราซิล แคนาดา และออสเตรเลีย แสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการลดการพึ่งพาสหรัฐและกระจายความเสี่ยงด้านแหล่งวัตถุดิบ
แอนดี้ รอธแมน อดีตนักการทูตสหรัฐกล่าวว่า ภาคการเกษตรจะกลายเป็นหัวข้อสำคัญในการเจรจาการค้าครั้งนี้ โดยคาดว่าทรัมป์จะผลักดันให้จีนเพิ่มการสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐให้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์เคยเรียกร้องให้จีนเพิ่มคำสั่งซื้อเป็น 4 เท่า
อย่างไรก็ตาม ร็อธแมนเชื่อว่าข้อตกลงที่แท้จริงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ทางโทรศัพท์ และทั้งสองฝ่ายน่าจะเตรียมพร้อมสำหรับการพบปะกันแบบตัวต่อตัวในช่วงปลายปีนี้ โดยคาดว่าทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงที่มีเป้าหมายที่สมเหตุสมผลมากขึ้น แทนที่จะเป็นเป้าหมายที่ "เป็นไปไม่ได้" เหมือนในข้อตกลงระยะแรก
จีนเสี่ยงเจอราคาถั่วเหลืองอราซิลพุ่ง
แม้กลยุทธ์ของจีนในการหลีกเลี่ยงการซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐจะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ราคาถั่วเหลืองจากบราซิลได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี ซึ่งหากผลผลิตในอเมริกาใต้เกิดปัญหา จีนอาจจำเป็นต้องใช้คลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์เร็วกว่าที่คาดไว้
นอกจากนี้ การบรรลุข้อตกลงทางการค้าอย่างกะทันหันอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อตลาดในประเทศ หากจีนกลับมาสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐในปริมาณมาก จะทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดและราคาตกต่ำลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแผนการจัดการคลังสินค้าของผู้ผลิตในประเทศที่ได้วางแผนมาอย่างรอบคอบมาหลายเดือน
แม้จะมีภาษีนำเข้าที่สูง แต่สหรัฐยังคงเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกถั่วเหลืองที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำที่สุด การหลีกเลี่ยงการสั่งซื้อจากสหรัฐจึงทำให้จีนต้องจ่ายในราคาที่สูงขึ้น และยิ่งยืดเยื้อนานเท่าไหร่ ต้นทุนและความเสียหายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ในสงครามการค้าครั้งก่อน แม้จีนจะเก็บภาษีตอบโต้ แต่ก็ยังมีการยกเว้นและอนุญาตให้มีการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐในปริมาณจำกัด
“หากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงได้ ความต้องการถั่วเหลืองจากสหรัฐจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ปัญหาอยู่ที่สงครามการค้า ไม่ใช่การขาดความต้องการโดยสิ้นเชิง” รอธแมนกล่าว
อ้างอิง Bloomberg







