แรงงานกัมพูชาโอด 'กลับมาไม่มีงานทำ' ประสบการณ์ทำงานในไทยก็ไม่ช่วย

"งานอยู่ที่ไหน" กำลังเป็นคำถามสำหรับแรงงานกัมพูชาจำนวนมากที่เดินทางกลับประเทศไป ในช่วงที่ความขัดแย้งทางชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชากำลังร้อนระอุ
เว็บไซต์ขะแมร์ไทม์สรายงานว่า แรงงานกัมพูชาที่ไปทำงานในต่างประเทศเกือบหนึ่งล้านคนได้เดินทางกลับบ้าน ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของรัฐบาลที่รับปากว่าจะมีงานรองรับ แต่จนถึงขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นเช่นนั้น ความผิดหวังของแรงงานที่กลับมามีมากขึ้นเรื่อยๆ และโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยเสียงกังวล
สื่อกัมพูชารายนี้ลงพื้นที่หมู่บ้านตระเปียงพง จังหวัดกำปงสปือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่ามีตำแหน่งงานกว่า 23,000 ตำแหน่ง ทว่า “วอน พัล” หนึ่งในแรงงานที่อพยพกลับบ้านบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เธอสมัครงานโรงงานไป 7 แห่ง แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด
กระทรวงแรงงานและการฝึกอาชีพ (MLVT) เคยให้คำมั่นว่าจะอำนวยความสะดวกให้แรงงานคืนถิ่นด้วยการจัดหางานรองรับ โดยยืนยันว่าเศรษฐกิจกัมพูชาสามารถรองรับพวกเขาและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้ได้
อย่างไรก็ตาม แรงงานเหล่านี้กลับต้องผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหางานแทบไม่ได้ พวกเขาต่างเผชิญอุปสรรคสำคัญทั้งขั้นตอนการรับสมัครงานที่ติดขัด ทักษะไม่ตรงกับความต้องการ และกลไกการสนับสนุนของภาครัฐที่ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนผ่านจากงานนอกระบบในต่างประเทศ ไปสู่การจ้างงานในระบบที่มั่นคงในประเทศได้
ขณะที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ TikTok ยังกลายเป็นพื้นที่สะท้อนความกังวลในใจเรื่องเงินเก็บที่ร่อยหรอลง ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่หนักขึ้น
อายุ-รูปร่างหน้าตา เป็นข้อจำกัด
ผู้สื่อข่าวขะแมร์ไทม์สได้พบปะกับแรงงานหลายกลุ่มที่เดินทางกลับจากประเทศไทยในจังหวัดกำปงสปือ ซึ่งเป็นจังหวัดอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีรายงานตำแหน่งงานว่าง 23,000 ตำแหน่ง จากราว 200,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ หลายคนต่างเล่าถึงความยากลำบาก ความไม่แน่นอน และความผิดหวังในการหางาน
“วอน พัล” หญิงวัย 40 ปี เป็นหนึ่งในแรงงานที่กลับมาจากประเทศไทยพร้อมลูกสองคน แต่สามียังอยู่ทำงานต่อในไทยเพื่อช่วยส่งเงินให้ครอบครัวบ้างเป็นครั้งคราว พัลสมัครงานโรงงานไปแล้วถึง 7 แห่งในช่วงสองเดือน แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกที่โรงงานส่วนใหญ่ต้องการคนอายุน้อย บางที่จำกัดอายุไม่เกิน 35 ปี และในบางกรณีนายจ้างยังให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาอย่างเปิดเผย โดยไม่คำนึงถึงทักษะหรือประสบการณ์
ที่สำคัญก็คือในขั้นตอนการสมัครงานนั้น เจ้าหน้าที่รับสมัครงานจะกำหนดให้ต้องเข้ารับการฝึกอบรมระยะสั้น จัดเตรียมเอกสาร และสอบคัดเลือก โดยแต่ละครั้งจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 เรียล (ราว 400 บาท) ซึ่งยิ่งเป็นแรงกดดันทางการเงินเข้าไปอีก
หลังจากใช้เงินไปเกือบ 100 ดอลลาร์ หรือราว 3,200 บาทในการสมัครงาน 7 ครั้ง พาลก็จำใจยอมแพ้ในการหางานโดยบอกว่าหมดค่าใช้จ่ายไปเกือบครึ่งหนึ่งของเงินเดือนเฉลี่ยของโรงงานที่ 208 ดอลลาร์ไปแล้ว
พาลทั้งแสดงบัตรทำงานไทยพร้อมเอกสาร และย้ำว่ามีประสบการณ์มานานในโรงงานแปรรูปอาหารทะเลที่ไทย ทำให้เธอน่าจะมีคุณสมบัติเหมาะสม แต่หลังจากที่ทำงานมา 15 ปีจนกลับบ้านเกิดเมื่ออายุ 40 เธอกลับถูกบอกว่า “แก่เกินกว่าที่จะทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแล้ว”
ตัวอย่างอีกรายคือ “สเรย์สรส” วัย 33 ปีซึ่งกำลังตั้งครรภ์ เธอสมัครงานโรงงานไป 4 แห่ง แต่ละครั้งต้องใช้เงินไปกับเอกสาร การตรวจสุขภาพ และค่าเดินทาง แต่ก็ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนท้อแท้และเงินเริ่มร่อยหรอ
สุดท้ายก็ได้งานที่โรงงานสิ่งทอ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะสภาพแวดล้อมที่เรียกร้องจากแรงงานมากกว่าที่ผ่านๆ มา ผู้จัดการมอบหมายงานหลายอย่างพร้อมกัน การทำงานที่ใหม่ต้องใช้สมาธิ ความอดทน และความสามารถทางเทคนิคที่สูงขึ้น
หญิงรายนี้เล่าว่า คนงานที่มีอายุมากกว่า 40 ปีเช่นวอน พัล ไม่น่าจะรับมือกับสภาพการทำงานเช่นนี้ได้ เพราะโรงงานในปัจจุบันคาดหวังผลผลิตที่เข้มงวดภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งแทบจะไม่อดทนต่อการทำงานที่ผิดพลาดหรือล่าช้า
นอกจากอายุแล้ว โรงงานหลายแห่งยังประเมินรูปลักษณ์ภายนอกด้วย ผู้สมัครที่ดูมีอายุหรือมีแผลเป็นที่เห็นได้ชัดอาจถูกปฏิเสธโดยไม่ต้องดูเรื่องคุณสมบัติ ทักษะ หรือประสบการณ์ทำงาน
ส่วน “เนต” หนุ่มวัย 42 ปีที่กลับมาพร้อมภรรยา ต้องเลี้ยงเป็ดของญาติเพื่อยังชีพไปพลางเพราะยังหางานทำไม่ได้ แม้เขาจะมีที่ทางทำกินทางการเกษตร แต่เพราะข้อจำกัดเรื่องราคาผลผลิตการเกษตรที่ตกต่ำมาก ทำให้ไม่คุ้มที่จะลงทุนลงแรง ครั้นจะทำธุรกิจรถขายผักใกล้ๆ โรงงานก็ต้องใช้เงินราวๆ 3 หมื่นบาท ซึ่งขอกู้ธนาคารได้ยาก ส่วนเงินกู้นอกระบบก็ต้องเจอดอกเบี้ยสูงถึง 10% ต่อเดือน
แรงงานหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าแม้กระทรวงแรงงานฯ จะให้คำมั่นเรื่องอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงงานและการฝึกอบรม แต่การสนับสนุนที่ได้รับจริงมีเพียงแค่ค่าเดินทางจากชายแดนมายังหมู่บ้านเท่านั้น พวกเขาเข้าใจว่ากระทรวงฯ อาจรับมือยากกับจำนวนแรงงานมหาศาลที่กลับมาพร้อมกันในช่วงสั้นๆ แต่ก็โต้แย้งด้วยว่าหลังผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ควรให้ความช่วยเหลือโดยตรงมากขึ้น
ช่องว่างทักษะเป็นอุปสรรคใหญ่
"เควิน นาอึน" คณบดีคณะสังคมศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยพานนาศาสตร์กัมพูชา (PUC) กล่าวว่า รัฐบาลกำลังผสานเรื่องตำแหน่งที่เปิดรับในระดับชาติ กับมาตรการเชิงพื้นที่ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น เวทีหางานในจังหวัด โครงการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก และการขยายศูนย์แปรรูปเกษตรและโลจิสติกส์ เพื่อให้ประชาชนสามารถทำงานในพื้นที่บ้านใกล้ครอบครัวได้ มากกว่าจะผลักดันให้ไปหางานทำตามโรงงานในเมือง
คณบดีรายนี้ยังสะท้อนปัญหา “ช่องว่างทักษะ” ในกลุ่มแรงงานที่กลับมาว่า เป็นข้อจำกัดโอกาสได้งานในอุตสาหกรรมท้องถิ่นหรือโครงการภาครัฐ เพราะคนที่กลับมาส่วนใหญ่มักทำงานในตำแหน่งที่ใช้ทักษะต่ำในประเทศไทย (งานก่อสร้าง คนดูแล และงานเกษตรตามฤดูกาล) ซึ่งเป็นงานที่จำกัดการได้รับการฝึกอบรมทางเทคนิค
"ความไม่สมดุลนี้เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากโรงงานต้องการพนักงานควบคุมเครื่องจักร ช่างไฟฟ้า หรือพนักงานแปรรูปอาหาร ซึ่งเป็นทักษะที่คนกลับมาทำงานหลายคนยังขาดอยู่”
ผลผลิตราคาตก การเกษตรไม่ใช่ทางออก
ทางด้าน "เซบาสเตียน จอร์จ" ประธานและซีอีโอของ MV Group Cambodia ซึ่งเป็นบริษัทที่เชื่อมโยงภาคเกษตรกรรมทั้งต้นน้ำและปลายน้ำในกัมพูชา กล่าวถึงปัญหา "ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ" ว่าเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้แรงงานกัมพูชาไม่สามารถพึ่งพาภาคการเกษตรแทนที่งานในโรงงานได้
ราคาข้าวเปลือกและมันสำปะหลังที่ตกต่ำลงทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลงอย่างมาก ทำให้พวกเขามีปัญหาติดขัดเรื่องค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และการชำระคืนเงินกู้
ซีอีโอต่างชาติรายนี้กล่าวว่า รัฐบาลควรดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องเกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดน เช่น การกำหนดราคาขั้นต่ำสำหรับพืชผลสำคัญ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในชนบท เช่น การอบแห้ง การจัดเก็บ และการแปรรูป เพื่อช่วยลดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวและเพิ่มมูลค่าตลาด รวมถึงเรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โครงการฝึกอบรมผู้อพยพที่กลับมา และการช่วยให้เข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศได้
“ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจยิ่งรุนแรงขึ้นหลังแรงงานข้ามชาติหลายพันคนกลับประเทศ พวกเขาหางานทำไม่ได้และหันไปทำการเกษตรเพราะความจำเป็น แต่ด้วยราคาพืชผลที่ตกต่ำเช่นนี้ เกษตรกรรมจึงไม่ใช่ตาข่ายรองรับที่ยั่งยืนอีกต่อไปแล้ว”
“ครัวเรือนในชนบทจำนวนมากกำลังเผชิญกับหนี้สินเพิ่มขึ้นและความไม่มั่นคงทางอาหาร และหากไม่มีการแทรกแซงในทันที เราจึงเสี่ยงที่จะเห็นความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางในชุมชนเกษตรกรรมของกัมพูชา” เซบาสเตียน กล่าว





