ไขข้อสงสัย ทำไม ‘ฝรั่งเศส’ บิ๊กเศรษฐกิจเบอร์สองยุโรป จม ‘วังวนหนี้’

ไขข้อสงสัย ทำไม ‘ฝรั่งเศส’ บิ๊กเศรษฐกิจเบอร์สองยุโรป จม ‘วังวนหนี้’

ฝรั่งเศสถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) เนื่องจากปัญหาการคลังที่รายจ่ายภาครัฐสูงกว่ารายรับต่อเนื่อง ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงถึง 116% ของ GDP

KEY

POINTS

  • ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) เนื่องจากปัญหาการคลังที่รายจ่ายภาครัฐสูงกว่ารายรับต่อเนื่อง ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงถึง 116% ของ GDP
  • รัฐบาลกู้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อรับมือวิกฤติต่างๆ ในช่วงที่ต้นทุนการกู้ยืม (ดอกเบี้ย) ต่ำมาก ทำให้การก่อหนี้สะสมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • เผชิญ "วังวนหนี้" (Debt Loop) เมื่อต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น ทำให้ภาระจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายรับที่ลดลง และยิ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อจูงใจนักลงทุน
  • ความพยายามปฏิรูปการคลัง เช่น การลดสวัสดิการสังคม ถูกต่อต้านอย่างหนักจากการประท้วงของประชาชน ทำให้การแก้ปัญหาหนี้เป็นไปได้ยาก

สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ที่บริษัทจัดอันดับเครดิตเรทติ้งส์อย่าง “ฟิตช์” ปรับลดอันดับเครดิตของฝรั่งเศสลงมาจากเดิม AA- มาเป็น A+ จากความปั่นป่วนทางการเมืองและความกังวลจากสถานะการคลังของประเทศ

หลายคนอาจตกใจ แต่ความจริงแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นกับฝรั่งเศสนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่โดยเฉพาะปัญหาเรื่องหนี้และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกือบทุกประเทศทั่วโลกรวมทั้งยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีนด้วย

เล่าง่ายๆ ให้เห็นภาพคือตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่ "วังวนหนี้" ที่ยากจะออกมาได้ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากปริมาณหนี้สาธารณะโลกที่ขยับตัวสูงขึ้นทะลุ 100% ของภาพรวมเศรษฐกิจโลก ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)  นั้นหมายความว่าปริมาณหนี้ของทั้งโลกนั้นสูงเทียบเท่ากับภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกรวมกัน

ไขข้อสงสัย ทำไม ‘ฝรั่งเศส’ บิ๊กเศรษฐกิจเบอร์สองยุโรป จม ‘วังวนหนี้’

ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยาก เพราะมันคือการที่รัฐบาลของแต่ละประเทศมี “รายจ่าย” มากกว่า “รายได้” แต่คำถามคือทั้งโลกก็เผชิญกับปัญหานี้คล้ายๆ กัน แต่ทำไมบริษัทจัดอันดับเครดิตเลือกที่จะหั่นอันดับเครดิตของบางประเทศแต่ไม่หั่นบางประเทศ

 

อย่างเครดิตเรทเตอร์หลายเจ้าก็ขู่หลายต่อหลายครั้งว่าจะหั่นเครดิตของสหรัฐลงจาก "หนี้สาธารณะ" ที่อยู่ในระดับสูง แต่ทำไมบริษัทเครดิตเหล่านั้นไม่ทำเสียที คำตอบก็คือเขามองว่าสหรัฐยังมี "ความสามารถในการจ่ายหนี้" อยู่ อีกอย่างรัฐบาลสหรัฐยังมีอำนาจในการพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเรื่อยๆ โดยที่ความต้องการซื้อดอลลาร์ก็ยังมีอยู่คล้ายๆ เดิม กลับกัน บริษัทจัดอันดับเหล่านี้เขามองว่าแนวโน้มความสามารถในการจ่ายหนี้ของฝรั่งเศสนั้นน้อยลงจากความปั่นป่วนทางการเมืองและสถานะการคลังที่น่ากังวล

ทำความเข้าใจสถานะการคลังฝรั่งเศส

พักเรื่องการเมืองไว้ก่อน มาทำความเข้าใจภาพรวมปัญหาเรื่องงบประมาณของฝรั่งเศสกันก่อน ตอนนี้สถานะทางการคลังของฝรั่งเศสน่ากังวลเพราะรายจ่ายรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รายรับจากภาษีกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง

เมื่อรายจ่ายมากกว่ารายรับ "ส่วนเกิน" หรือ Gap ที่มันเกินมา ทางเศรษฐศาสตร์จะเรียกว่า “การขาดดุล” หรือ Budget Deficit ซึ่งในปี 2024 ฝรั่งเศสมีการขาดดุลงบประมาณไปทั้งสิ้น 1.686 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 5.8% ของจีดีพี

ถามว่าตัวเลขนี้เยอะขนาดไหน ก็เปรียบเทียบกับขนาดเศรษฐกิจบ้านเราอยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์ จะเห็นว่าตัวเลขของฝรั่งเศสคิดเป็นเกือบๆ สองส่วนของเศรษฐกิจไทยเลยทีเดียว

ไขข้อสงสัย ทำไม ‘ฝรั่งเศส’ บิ๊กเศรษฐกิจเบอร์สองยุโรป จม ‘วังวนหนี้’

รายรับและรายจ่ายรัฐบาลฝรั่งเศสสวนทางกัน

 

ถ้ายังไม่เห็นภาพ พามาดูตัวเลขรายรับรายจ่ายของรัฐบาลบ้าง ในปี 2024 รัฐบาลฝรั่งเศสหารายได้เข้ารัฐบาลได้ทั้งสิ้น 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ (ส่วนมากมาจากพวกภาษีหรือการลงทุนของรัฐ) แต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับมีรายจ่ายสูงถึง 1.67 ล้านล้านดอลลาร์ ภาพตรงนี้มันก็สะท้อนออกมาจากการอธิบายเรื่องการขาดดุลที่เล่าไปเมื่อสักครู่

เพื่อให้เห็นภาพใหญ่มากขึ้น พาไปดูกราฟ Debt-to-GDP หรือว่าเป็นกราฟที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้เปรียบเทียบขนาดเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเข้ากับปริมาณหนี้ จะเห็นว่า ตั้งแต่ปี 2008 มาจนถึงปี 2025 อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีของฝรั่งเศสปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากเพียง 60% ของจีดีพีมาอยู่ที่สูงถึง 116% ของจีดีพีในปีล่าสุด ซึ่งคิดเป็นมูลหนี้กว่า 3.35 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากเป็นภาระหนี้ที่สูงและหนักอึ้งมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในยูโรโซน

ไขข้อสงสัย ทำไม ‘ฝรั่งเศส’ บิ๊กเศรษฐกิจเบอร์สองยุโรป จม ‘วังวนหนี้’

อะไรทำให้ฝรั่งเศสกู้ได้มากขนาดนี้ ?

แล้วอะไรทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสกู้ยืมได้มากขึ้นขนาดนี้ คำตอบก็คือ "ต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำ" ในช่วง 2008 - 2020 โดยถ้าเราดูตามกราฟอัตราส่วนหนี้ของรัฐบาลฝรั่งเศสต่อจีดีพีจะเห็นว่า มูลหนี้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปี 2008 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทั้งโลกเผชิญกับหลายวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็น Global Financial Crisis ปี 2008, การระบาดของโควิด-19 ในช่วงปี 2020, สงครามรัสเซียยูเครนปี 2022 หรือสงครามการค้าในปัจจุบัน รัฐบาลก็เลยต้องกู้เงินมาใช้จ่ายในประเทศ ลดผลกระทบจากวิกฤติ

ทีนี้ ถ้าเราย้อนกลับไปดูผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลฝรั่งเศสอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นภาพแทนของผลตอบแทน (พูดง่ายๆ ก็คือดอกเบี้ย) ที่รัฐบาลฝรั่งเศสต้องจ่ายให้ผู้ถือพันธบัตร จะเห็นว่า ต้นทุนการกู้ยืมในช่วงนั้นอยู่ในระดับต่ำพอดีหรือแทบจะติดลบด้วยซ้ำ นั้นหมายความว่าการกู้ยืมเงินของรัฐบาลจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายคล้ายกับ "เงินฟรี"

ไขข้อสงสัย ทำไม ‘ฝรั่งเศส’ บิ๊กเศรษฐกิจเบอร์สองยุโรป จม ‘วังวนหนี้’

 

แต่ดีใจได้ไม่นานหลังโควิด-19 ในปี 2021 เป็นต้นมาต้นทุนการกู้ยืมก็ปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อัตราดอกเบี้ยจ่ายของรัฐบาลฝรั่งเศสขยับสูงขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างในปี 2025 อัตราดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าปี 2020 ถึง 2.6 หมื่นล้านบาท ถามว่ารายจ่ายดอกเบี้ยของรัฐบาล 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าสูงมากเพราะงบประมาณที่เข้ากระทรวงการศึกษาและงบกระทรวงกลาโหมยังต่ำกว่าดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายเสียอีก

ฝรั่งเศสเข้าสู่ Debt Loop

จากเหตุการณ์ทั้งหมดมันก็จะทำให้ฝรั่งเศสเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า  “Debt Loop” หรือวงจรหนี้ที่ออกมาไม่ได้ เพราะ ในอนาคตต้นทุนการกู้ยืมก็จะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วยิ่งบริษัทจัดอันดับปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแบบนี้ รัฐบาลฝรั่งเศสก็ยิ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้ยืมให้นักลงทุนสูงขึ้นเพื่อจูงใจ ทีนี้ก็จะทำให้รัฐบาลมีรายจ่ายสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่รายรับจากภาษีหรือการลงทุนของรัฐก็ปรับตัวลงสวนทางกัน

นั้นหมายความว่าในอนาคต รัฐบาลฝรั่งเศสและประชาชนผู้เสียภาษีก็จะต้องหาเงินมาจ่ายหนี้จากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเป็นวังวนเช่นนี้ต่อไป

ทั้งหมดจึงไม่แปลกที่ว่า ทำไมบริษัทจัดอันดับเครดิตจึงหั่นอันดับเครดิตของฝรั่งเศสลง

รัฐบาลฝรั่งเศสพยายามแก้ปัญหาหนี้

จากปัญหาทั้งหมด ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย เอ็มมานูเอล มาครอง พยายามจะใช้มาตรการที่หลากหลายในการปรับปรุงการใช้จ่ายเช่น การลดงบประมาณสวัสดิการทางสังคม งบประมาณเกี่ยวกับทางราชการ อย่างการเลิกจ้างพนักงานบางส่วนของรัฐ และการเพิ่มภาษีเพื่อเพิ่มรายได้เข้าภาครัฐ แต่หลายครั้งมาตรการเหล่านี้ก็ถูกมองว่าขัดต่อผลประโยชน์ของสาธารณะ และมักจะถูกต่อต้านอยู่บ่อยครั้ง

สุดท้ายก็มักจะจบลงที่การประท้วงจนทำให้รัฐบาลต้องเปลี่ยนนโยบายเพื่อลดแรงเสียดทาน นอกจากนี้ คะแนนเสียงหลักของพรรคเรอแนซ็องส์ (RE) ของมาครอง ก็ยังเป็นกลุ่มคนสูงอายุที่ได้ประโยชน์จากสวัสดิการเหล่านั้น

คุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist จากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับกรุงเทพธุรกิจว่า การต่อต้านการปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลฝรั่งเศส เช่น การลดสวัสดิการทางสังคม และการลดเงินบำนาญนั้น เกิดจากวัฒนธรรมของฝรั่งเศสที่เชื่อในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนทำงาน และการมี work-life balance

เมื่อเทียบกันแล้ว ค่าใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการและบำนาญต่อจีดีพีของฝรั่งเศสอยู่ที่ราว 14% ถือว่าสูงกว่ารายได้ จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยรวมกันคือราว 12% ต่อจีดีพี

คุณบุรินทร์ทิ้งท้ายว่า “A+ ถือว่ายังสูงอยู่ ยังห่างไกลจาก Non-investment grade … แม้จะถูกดาวน์เกรดแต่ถ้ามุมมองในอนาคตยังอยู่ในระดับ stable ก็ยังไม่น่ากังวลมาก แต่ถ้าถึงขั้นที่หั่นเครดิต มาด้วย และมุมมองในอนาคตก็ลงมาด้วยอันนี้ก็อาจจะน่ากังวล”