เจาะลึก ‘วิกฤติตลาดบอนด์’ ทั่วโลก ‘หนี้ท่วม’ สั่นคลอนเสถียรภาพการเงินโลก

วิกฤติตลาดบอนด์ปั่นป่วน ‘หนี้’ ทั่วโลกพุ่งแตะ 92% ของ GDP จับตาผลกระทบจากบอนด์สหรัฐ กระทบตลาดเกิดใหม่ สั่นคลอนเสถียรภาพการเงินโลก
สถานการณ์ “ตลาดพันธบัตร” ทั่วโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความผันผวนและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทำให้บอนด์ยีลด์ (Bond Yield) หรืออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญเรื่อง "สุขภาพของเศรษฐกิจโลก"
เศรษฐกิจหลักของโลกกำลังเผชิญกับภาวะ “หนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น” โดยเฉพาะ “สหรัฐ” เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ หมายถึงภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถนำรายได้จากภาษีไปใช้จ่ายในด้านอื่นๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือ การลงทุนในโครงการที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวได้มากนัก
เรื่องนี้ทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้ ท่ามกลางเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งกำลังสร้างความไม่มั่นคงให้กับตลาดการเงินทั่วโลก
‘หนี้สหรัฐ’ ดันบอนด์ยีลด์พุ่ง
เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา “มูดี้ส์” (Moody's) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อ ได้ลดอันดับเครดิตระดับ Triple-A ของสหรัฐ เป็น Aa1 ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการประกาศปลดสหรัฐออกจากอันดับ “ความน่าเชื่อถือสูงสุด” เนื่องจากจากความกังวลหนี้สาธารณะและขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูง
เรื่องนี้ทำให้ความกังวลเรื่อง “การคลัง” ของสหรัฐกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากมีหลายการวิเคราะห์ชี้ตรงกันว่า แผนงบประมาณของทรัมป์จะทำให้หนี้ภาครัฐพุ่งสูงขึ้นอีกหลายล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้า ทั้งที่ตอนนี้ตัวเลขขาดดุลสูงกว่า 6% ของ GDP ไปแล้ว
มูดี้ส์ คาดการณ์ว่า หนี้รัฐบาลจะสูงถึง 134% ของ GDP ภายในปี 2578 จาก 98% ในปี 2567 และการขาดดุลการคลังจะเพิ่มเป็น เกือบ 9% ของ GDP ภายในปี 2578 จาก 6.4% ในปี 2567
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การปรับลดอันดับเครดิตจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยเฉพาะในกรณีที่นักลงทุนเริ่มมองเห็นความเสี่ยงในหนี้สินของสหรัฐเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเพิ่มขึ้น ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ความกังวลทางการคลังนี้ส่งผลให้พันธบัตรระยะยาวของสหรัฐตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีได้เพิ่มขึ้นจาก 4% ในช่วงต้นปี 2567 เป็นประมาณ 5% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่เคยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3% ในปี 2560 ปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ 4.5%
หนี้ G7 ระเบิดเวลาเศรษฐกิจโลก
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งขึ้นไปอีกคือ นอกเหนือจากสหรัฐ ประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ในกลุ่ม G7 ก็กำลังเผชิญกับวิกฤติหนี้ที่น่ากังวลไม่แพ้กัน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานว่า ณ สิ้นปี 2567 สัดส่วนหนี้สาธารณะเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 92% ของ GDP เพิ่มขึ้นจาก 84% ในปี 2562
“ฝรั่งเศส” เป็นประเทศที่น่ากังวลที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากภาระหนี้ของรัฐบาลที่พุ่งสูงถึง 3,345.8 ล้านยูโร หรือ 114% ของ GDP ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2568 และการขาดดุลงบประมาณที่สูงกว่าเกณฑ์ของ EU เกือบ 2 เท่า ท่ามกลางปัญหาการเมืองที่วุ่นวายทำให้การจัดการหนี้ยากขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
เรื่องนี้ทำให้ “ฟิทช์ เรทติ้งส์” (Fitch Ratings) ได้ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลฝรั่งเศสจาก AA- เป็น A+
ด้านสหราชอาณาจักรก็มีหนี้สาธารณะสูงถึง 97% ต่อ GDP เผชิญกับต้นทุนการกู้ยืมและอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดใน G7 ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี
ขณะเดียวกัน “ญี่ปุ่น” มีหนี้สาธารณะสูงถึง 255% ต่อ GDP ซึ่งการที่อัตราเงินเฟ้อกลับมาอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยก็จะยิ่งทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มขึ้นไปอีก และการเมืองที่ยังไม่นิ่งยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
ลาม ‘เสถียรภาพการเงินโลก’
สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) ชี้ว่า ผลกระทบจากหนี้ที่เพิ่มขึ้นจะไม่จำกัดอยู่แค่เศรษฐกิจอเมริกา เท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดการลุกลามและผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในตลาดพันธบัตรทั่วโลก
นอกจากนี้ ตลาดพันธบัตรของประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐ, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และฝรั่งเศส มีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ผ่านการค้าและตลาดทุน ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศเหล่านี้มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
ความเชื่อมโยงของตลาดการเงินไม่ได้ไหลจากสหรัฐไปสู่ทั่วโลกเพียงทิศทางเดียว แต่ยังสามารถไหลย้อนกลับได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น การประมูลพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 40 ปีที่อ่อนแอในช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นสูงขึ้น และก็ส่งผลต่อให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
รายงานจาก IIF ชี้ให้เห็นว่า ตลาดเกิดใหม่มีความอ่อนไหวต่อระดับหนี้ที่สูงขึ้นของสหรัฐ เนื่องจากสัดส่วนเงินลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในตลาดขนาดใหญ่กว่า 60% อยู่ในสหรัฐและยุโรป ทำให้สัดส่วนเงินทุนที่พร้อมจะไหลเข้าสู่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาเหลือเพียงไม่ถึง 7% สิ่งนี้ทำให้แหล่งเงินทุนสำหรับประเทศเหล่านี้มีจำกัดมากขึ้น
กูรูเตือนตลาดพันธบัตรสหรัฐเสี่ยง ‘พัง’
ด้าน “เจมี ไดมอน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส ได้ออกมาเตือนอย่างหนักแน่นว่า ตลาดพันธบัตรสหรัฐกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะ "พังทลาย" ภายใต้แรงกดดันจาก “หนี้ของประเทศ” ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเขาได้เรียกร้องให้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ หันมาให้ความสำคัญกับทิศทางการคลังที่ยั่งยืนมากขึ้น
“จอห์น วาลดรอน” ประธานโกลด์แมน แซคส์ แสดงความเห็นที่สอดคล้องกับไดมอน โดยอธิบายว่าการขาดดุลของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นนั้นค่อนข้างน่ากังวลและเตือนว่าความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในระดับเศรษฐกิจมหภาคในขณะนี้คืออัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนเงินทุนในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นและเป็น "ตัวเบรก" การเติบโตทางเศรษฐกิจ
ส่วน “เรย์ ดาลิโอ” (Ray Dalio) นักลงทุนมหาเศรษฐี และเป็นผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ Bridgewater Associates ออกมาเตือนอีกครั้งเกี่ยวกับหนี้ และการขาดดุลของสหรัฐที่พุ่งสูงขึ้น โดยกล่าวว่า สถานการณ์นี้ควรทำให้นักลงทุนรู้สึกหวาดหวั่นต่อการลงทุนใน “ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
“นี่เหมือนกับว่า... ผมเป็นหมอ แล้วกำลังมองดูคนไข้ และผมบอกว่า คุณกำลังมีการสะสมหนี้แบบนี้นะ และผมบอกได้เลยว่า ‘สิ่งนี้ร้ายแรงมากๆ’ แม้ผมจะบอกเวลาที่แน่นอนไม่ได้ แต่ถ้าเรามองไปข้างหน้าในช่วง 3 ปีข้างหน้า บวกลบสัก 1 ถึง 2 ปี ผมก็จะบอกว่า เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤติอย่างยิ่ง”
ดาลิโอเสนอว่าทางออกที่ยั่งยืนคือ สหรัฐควรลดระดับ การขาดดุลจากปัจจุบันที่ประมาณ 6% ของ GDP ลงมาเหลือ 3% แต่ในทางปฏิบัติ ทิศทางการเมืองกลับสวนทางกับข้อเสนอดังกล่าว ร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ แม้จะมีการปรับลดบางรายการใช้จ่าย แต่ก็ให้ความสำคัญกับ การลดภาษีในสัดส่วนที่สูงกว่า ส่งผลให้ความเสี่ยงทางการคลังอาจยิ่งเพิ่มขึ้นในอนาคต
อ้างอิง reuters






