จับตา 'ทรัมป์' พบ 'คิงชาลส์’ มนต์รักราชวงศ์ ไพ่เด็ดการทูตของอังกฤษ

จับตา 'ทรัมป์' พบ 'คิงชาลส์’ บุคคลที่มีทัศนคติต่างกันคนละขั้ว แต่สามารถเข้ากันได้ด้วยดี และความรักของทรัมป์ที่มีต่อราชวงศ์ คือไพ่เด็ดการทูตของอังกฤษ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักร 17-19 ก.ย. นี้ ผู้นำสหรัฐจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยเสน่ห์อันน่าประทับใจของราชวงศ์ในระหว่างการเยือนรัฐอย่างเป็นทางการ
บีบีซีระบุว่า เป้าหมายของอังกฤษคือการสร้างความตื่นตาตื่นใจและเอาอกเอาใจทรัมป์ด้วยการต้อนรับแบบหรูหราขั้นสุด มีทหารกองเกียรติยศ มีการแสดงทางอากาศ ได้นั่งรถม้าในประวัติศาสตร์ ร่วมงานเลี้ยงหรูหราโออ่า ตระการตา สุดพิธีรีตอง
ในอีกมุมหนึ่งเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็หวังว่างานต้อนรับที่อบอุ่นนี้จะช่วยให้สหราชอาณาจักรสามารถสื่อสารประเด็นที่ละเอียดอ่อนกับสหรัฐได้ดี เช่น เรื่องสงครามยูเครนและภาษีการค้า
หากถามว่าใครสามารถดึงดูดความสนใจจากประธานาธิบดีสหรัฐ และโน้มน้ามเข้าได้บ้าง แน่นอนว่า “กษัตริย์ชาลส์ที่ 3” และราชวงศ์สามารถทำได้
แอนนา ไวท์ล็อก ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์การปกครองแบบกษัตริย์สมัยใหม่จาก City St George's มหาวิทยาลัยลอนดอน กล่าว
“ทรัมป์รักสถาบันและราชวงศ์ นี่คือไพ่เด็ดทางการทูตที่มีศักยภาพของรัฐบาลอังกฤษ”
อาจารย์ไวท์ล็อก บอกว่า ความสนใจในราชวงศ์จะทำให้กษัตริย์มีข้อได้เปรียบที่หาได้ยากยิ่งในการรับมือกับทรัมป์ ผู้ที่หวังว่าตนเองจะได้เปรียบเหนือกว่า
แอนโทนี เซลดอน นักเขียนชีวประวัติของนายกรัฐมนตรีอังกฤษเห็นด้วยกับความคิดเห็นของไวท์ล็อกว่า กษัตริย์จะได้ประโยชน์จากความสนใจที่มีต่อราชวงศ์ที่เห็นได้ชัดของทรัมป์
“แต่ขณะเดียวกัน คิงชาร์ลส์ทรงอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนไหวที่สุดเช่นกัน ทัศนะของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในยุโรป ต่างจากประธานาธิบดีอย่างมาก” แอนโทนีกล่าว
พิธีรีตองรอรับทรัมป์เยือนอังกฤษ
รัฐบาลอังกฤษหวังอย่างยิ่งว่างานสังสรรค์ของราชวงศ์สัปดาห์นี้จะสร้างความประทับใจเชิงบวกต่อทรัมป์ และสร้างความรู้สึกดีต่อสหราชอาณาจักร
บีบีซีระบุว่าการเยือนอังกฤษของทรัมป์ในครั้งนี้เป็นการเยือนที่แปลกใหม่และมีความพิถีพิถันซ่อนอยู่ กำหนดการต่างๆ อัดแน่นอยู่ภายในหนึ่งวันครึ่ง ส่วนใหญ่เน้นไปที่การพบปะราชวงศ์ โดยใช้พระราชวังวินด์เซอร์เป็นสถานที่หลักของงาน และด้วยความกังวลเรื่องความปลอดภัยและการประท้วง จึงไม่มีการจัดพิธีแบบเปิดและไม่มีแห่ขบวนต้อนรับแบบสาธารณะเหมือนที่ต้อนรับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศส แต่จะใช้เฮลิคอปเตอร์และจัดงานแบบปิดแทน และจะพานั่งรถม้าในบริเวณพระราชวังวินด์เซอร์
โพลสำรวจของยูกอฟในช่วงฤดูร้อนพบว่าประชาชนมีความเห็นแบ่งออกเป็นสองขั้ว ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับงานต้อนรับทรัมป์ และมีส่วนน้อยที่ต้องการให้ยกเลิกงานดังกล่าว
บีบีซีคาดว่า กษัตริย์ชาลส์จะทรงมีพระราชดำรัสเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีในงานเลี้ยงอาหารค่ำในหอประชุมเซนต์จอร์จ พระองค์จะตรัสชื่นชมความสัมพันธ์อันพิเศษนี้ รวมถึงวันครบรอบเกี่ยวกับสงคราม และอาจตรัสถึงพระราชมารดาของพระองค์ พระราชินีผู้ล่วงลับ และมารดาของทรัมป์ ผู้ที่เคารพรักราชวงศ์เป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ พระราชดำรัสของพระองค์ทุกถ้อยคำเขียนขึ้นโดยได้ปรึกษาหารือกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้ใจความสำคัญที่ถูกต้อง
โรเบิร์ต ฮาร์ดแมน นักเขียนของราชวงศ์ เผยว่า พวกเขาได้ร่างประเด็นที่ปลอดภัยในพระราชดำรัส เช่น การตรัสถึงตระกูลของทรัมป์ในสกอตแลนด์
บีบีซีกล่าวว่า ทุกสายตาอาจจะจับจ้องไปที่แคทเธอรีน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ และเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลข 1 เมื่อทั้งคู่ได้เยี่ยมชมโครงการธรรมชาติของกลุ่มนักเรียนลูกเสือในวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.)
ทรัมป์เองก็ชื่นชมเจ้าชายวิลเลียมอย่างมาก เคยกล่าวว่าการพูดคุยกับพระองค์ในฝรั่งเศสในพิธีเปิดมหาวิหารนอเทรอดามนั้นยอดเยี่ยมมาก บีบีซีเผยว่าวิลเลียมและแคทเธอรีนจะมีส่วนสำคัญในพิธีต้อนรับในวันพุธ (17 ก.ย.) ด้วย
ขณะที่สมเด็จพระราชินีคามิลลาจะทรงนำของแปลกตาชิ้นหนึ่งจากพระราชวังวินด์เซอร์มาแสดงให้เมลาเนียดู ซึ่งนั่นคือบ้านตุ๊กตาที่สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษก่อน โดยสถาปนิกเซอร์เอ็ดวิน ลูเทียนส์
‘ทรัมป์-คิงชาลส์’ คนคุ้นเคย?
แม้คิงชาลส์และทรัมป์ดูมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี
บีบีซีระบุว่า ทั้งสองคนเป็นคนวัยเดียวที่เกิดหลังสงครามโลก ปัจจุบันทรัมป์มีอายุ 79 ปี และกษัตริย์ชาลส์มีพระชนมายุ 76 พรรษา
ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 กษัตริย์ชาลส์ทรงเคยไปเยือนบ้านพักของทรัมป์ในมาร์อะลาโก และหลังทรัมป์รอดชีวิตจากการลอบสังหาร พระองค์ได้ส่งสาส์นถึงทรัมป์เป็นการส่วนตัว และเคยใช้เวลาร่วมกันในระหว่างที่ทรัมป์เยือนอังกฤษเมื่อปี 2019
นอกจากนี้ ในการเยือนอังกฤษครั้งก่อน ทรัมป์รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และในการเยือนครั้งที่ 2 เขาจะไปแสดงความเคารพพระองค์ที่โบสถ์เซนต์จอร์จด้วย
ความหลงใหลในสถาบันพระมหากษัตริย์ของทรัมป์คือหัวใจสำคัญของการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งนี้
"ผมยังจำได้ดีว่าแม่ของผม ผู้มีเชื้อสายสกอตแลนด์แท้ๆ เคยนั่งดูพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธอยู่หน้าโทรทัศน์ทั้งวัน ท่านหลงใหลในความโอ่อ่าตระการตาและบรรยากาศอันหรูหรา ท่านสนใจในราชวงศ์และเสน่ห์เหล่านั้น ” ทรัมป์เล่าไว้ในหนังสือ The Art of the Deal ของเขา
“การได้พบกับสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษถือเป็นสัญญาณสำคัญที่สุดที่แสดงให้เห็นว่า ทรัมป์ประสบความสำเร็จในชีวิต” ฟิโอนา ฮิลล์ อดีตที่ปรึกษาด้านรัสเซียของทรัมป์ เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับทำเนียบขาว
สำหรับทรัมป์ การได้ใกล้ชิดกับกษัตริย์หรือพระราชินีดูเหมือนจะเป็นโอกาสที่มีค่าที่สุดที่คนนอกได้กลายมาเป็นบุคคลภายใน
‘กษัตริย์ชาลส์’ สะพานเชื่อมสัมพันธ์
การเยือนอังกฤษของประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่ 2 เป็นการเยือนที่แทบไม่ค่อยเกิดขึ้น แม้แต่สมเด็จพระราชินีมาร์เกรเธอและเจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์กเสด็จเยือนอังกฤษแค่สองครั้งเท่านั้น ในปี 2517 และปี 2543
นับตั้งแต่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ขึ้นครองราชย์ มีประธานาธิบดีสหรัฐเพียง 3 คนเท่านั้นที่ได้ไปเยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการ ได้แก่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช, บารัก โอบามา และทรัมป์ ผู้ที่ได้เยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการถึง 2 ครั้ง ไม่นับรวมการเยือนอังกฤษในภารกิจอื่นๆ
การเยือนสหราชอาณาจักรครั้งที่ 2 ของทรัมป์จึงไม่ควรเป็นเรื่องที่ถูกมองข้าม เพราะสะท้อนให้เห็นว่าทรัมป์มีอิทธิพลต่อวาระการต่างประเทศมากเพียงใด ทั้งยังถือเป็นโมเมนต์ที่สำคัญสำหรับคิงชาลส์ ผู้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าแทรกแซงการเมือง ตอนนี้พระองค์อยู่ในสถานะที่ไม่ธรรมดา จากการมีบทบาทในการเจรจาทางการทูตอย่างแข็งขัน ซอฟต์พาวเวอร์นี้กำลังนำมาใช้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่สามทรงเคยโอบกอดประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน หลังจากเผชิญกับสถานการณ์การหารือกับทรัมป์ที่ไม่สู้ดีนักเมื่อเดือน ก.พ. และพระองค์ยังเสด็จไปเยือนแคนาดาในเดือน พ.ค. เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อแคนาดาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของทรัมป์ที่ต้องการให้ประเทศเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ
เจเรมี คินส์แมน อดีตข้าหลวงใหญ่แคนาดาประจำสหราชอาณาจักร กล่าวว่า การเขาแทรกแซงของพระองค์มีความโดดเด่น และลดทอนท่าทีที่ก้าวร้าวของทรัมป์ลง และเสริมว่าพระองค์ทรงเปรียบเสมือนผู้สร้างสะพานในยุคที่นักการเมืองฝ่ายประชานิยมกำลังพังสะพานเหล่านั้น
คินส์แมน มองว่า ทั้งสองคนมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่คาดว่าการพบปะกันจะราบรื่นไปด้วยดีจากการที่ทั้งสองฝ่ายเตรียมความพร้อมข้อมูลต่างๆ เป็นอย่างดี เพื่อให้การสนทนาต่างๆ ราบรื่น
ด้านพอว์ลีน แม็คลาเรน นักวิจารณ์เกี่ยวกับราชวงศ์มองว่า กษัตริย์ทรงทราบดีว่าต้องทำอย่างไร และฉันมั่นใจว่าพระองค์จะรับมือกับประธานาธิบดีด้านการทูตได้ด้วยพระปรีชาสามารถ เคมีระหว่างพวกเขาทั้งสองคนน่าสนใจมาก"







