มูลค่า 'BYD' หายไป 1.4 ล้านล้านบาท สงครามราคากดกำไรหนัก

มูลค่า 'BYD' หายไป 1.4 ล้านล้านบาท สงครามราคากดกำไรหนัก

‘บีวายดี’ กำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น หลังหุ้นถูกเทขายกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ท่ามกลางสงครามราคาที่บั่นทอนกำไร และความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่ยอดส่งมอบปีนี้ถูกหั่นเหลือ 4.6 ล้านคัน และกำไรไตรมาสล่าสุดร่วง 30%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “บีวายดี” (BYD) ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าระดับแนวหน้าของจีน กำลังเผชิญแรงกดดันด้านความเชื่อมั่นจากนักลงทุน หลังมูลค่าหุ้นกว่า 45,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท ถูกเทขาย ท่ามกลางความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการรับมือสงครามราคาที่ทำลายล้างกันเองในจีน

หุ้น BYD ที่จดทะเบียนในฮ่องกงรายนี้ “ร่วงลงมากกว่า 30%” จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อเพียง 4 เดือนก่อน และทำผลงานได้ย่ำแย่กว่าคู่แข่ง โดยข้อมูลที่บลูมเบิร์กรวบรวมระบุว่าจำนวนคำแนะนำ “ขาย” จากนักวิเคราะห์ต่อหุ้น BYD พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2022

ในขณะนี้ นักลงทุนเริ่มหมดความอดทนกับกลยุทธ์ของ BYD ที่ลดราคาอย่างหนัก เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ในขณะที่รัฐบาลจีนกำลังกวาดล้างสิ่งที่เรียกว่า “การแข่งขันเกินพอดี” ซึ่งกำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับอุตสาหกรรม 

ในเวลาเดียวกัน คู่แข่งอย่าง Geely Automobile และ Zhejiang Leapmotor Technology ก็กำลังรุกคืบขึ้นมา

“แม้ผมเชื่อว่า นักลงทุนยังคงมีมุมมองระยะยาวในเชิงบวก แต่ก็มีความกังวลจริงจังต่อกลยุทธ์ของ BYD ที่ใช้การกดราคาเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด” เควิน เน็ต หัวหน้าฝ่ายหุ้นเอเชียของ Financiere de L Echiquier กล่าว “ในระยะสั้น เรื่องนี้จะยังกดดันทั้งรายได้ และอัตรากำไร”

ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไรไตรมาสเดือนมิถุนายน ร่วงลง 30% ซึ่งเป็นการ “ลดลงครั้งแรก” ในรอบกว่า 3 ปี อันเป็นผลมาจากสงครามราคา

ขณะเดียวกัน ปักกิ่งเริ่มแสดงท่าทีชัดเจนมากขึ้นในการพยายามควบคุมการแข่งขันที่รุนแรงเกินไป ซึ่งรัฐบาลมองว่า เป็นปัจจัยกดดันเงินเฟ้อลง (ก่อให้เกิดภาวะเงินฝืด) และทำลายภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมการผลิตจีนในเวทีนานาชาติ

ปัจจุบัน BYD คาดว่า จะส่งมอบรถได้ 4.6 ล้านคันในปีนี้ ลดลงอย่างมากจากเป้าหมายเดิมที่ 5.5 ล้านคัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ปรับลดลงนี้ บริษัทต้องส่งมอบรถราว 1.7 ล้านคัน ภายในสี่เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งถือเป็นงานหนักเมื่อพิจารณาจากไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เริ่มล้าสมัย และกฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดขึ้น

นักวิเคราะห์ในตลาดระบุว่า การเปิดตัวรุ่นใหม่ในไตรมาสแรกของปี 2026 จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นBYD โดยบริษัทได้เลื่อนการเปิดตัวบางรุ่นไปปีหน้าเพื่อปรับให้รถมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ขณะที่คู่แข่งประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวรุ่นใหม่ของตน

“ไม่มีผู้ผลิตรถรายใดที่จะรักษาวงจรผลิตภัณฑ์ให้แข็งแกร่งตลอดไป—แม้แต่ BYD ก็ไม่สามารถทำได้” เซียว เฟิง หัวหน้าฝ่ายวิจัยอุตสาหกรรมจีนร่วมของ CLSA ฮ่องกง กล่าว “ผลิตภัณฑ์ของ BYD เริ่มดูซ้ำซากตั้งแต่ช่วงที่ครองตลาดปี 2018–2024 และผู้ซื้อก็หันไปหาคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง Geely และ Leapmotor แทน”

แม้เผชิญความท้าทายในประเทศ BYD ยังคงรุกตลาดต่างประเทศได้อย่างแข็งแกร่งด้วยการเปิดตัวรุ่นใหม่มากขึ้น และเพิ่มการผลิตในท้องถิ่น นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs คาดว่าปริมาณการขายในต่างประเทศอาจแตะ 900,000 ถึง 1 ล้านคันในปี 2025 สูงกว่าเป้าหมาย 800,000 คันที่ผู้บริหารตั้งไว้เมื่อช่วงต้นปี

ด้านมูลค่าหุ้นก็เป็นอีกจุดดึงดูด โดยปัจจุบันซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ราว 17 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยสามปีที่ 20 เท่า

ขณะเดียวกัน ปริมาณการซื้อขายออปชันก็พุ่งสู่ระดับสูงสุดใหม่เกือบ 600,000 สัญญาที่เปิดอยู่ เกือบสามเท่าของระดับเมื่อเดือนมิถุนายน

ทุกสายตาจับจ้องไปที่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศของ BYD ที่จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ และกลยุทธ์การตั้งราคาที่น่าจับตามอง นักวิเคราะห์คาดว่าจะได้เห็นดีไซน์ใหม่ การติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ God’s Eye ในรุ่นราคาย่อมเยา การอัปเกรดแบตเตอรี่ และระยะทางวิ่งที่ไกลขึ้นสำหรับรุ่นปลั๊กอินไฮบริด
 

 

 

อ้างอิง: bloomberg

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์