ถอดบทเรียน ‘ฝรั่งเศส’ โดนฟิทช์ ‘หั่นเครดิต’ หลังหนี้พุ่ง การเมืองแตกแยก

ถอดบทเรียน ‘ฝรั่งเศส’  โดนฟิทช์ ‘หั่นเครดิต’ หลังหนี้พุ่ง การเมืองแตกแยก

ถอดบทเรียน ‘ฝรั่งเศส’ หลังฟิทช์ เรทติ้งส์ ‘ลดอันดับความน่าเชื่อ’ สู่ระดับ A+ แรงกดดันสู่การ ’ปฏิรูปการคลัง’ เหตุหนี้พุ่ง 114% ของ GDP การเมืองแตกแยก หลังเปลี่ยนรัฐบาลถึง 3 ชุดในเวลาสั้นๆ

“ฟิทช์ เรทติ้งส์” (Fitch Ratings) ได้ประกาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลฝรั่งเศสจาก AA- เป็น A+ จากภาระหนี้ของรัฐบาลที่สูงและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแบ่งขั้วทางการเมืองที่ขัดขวางการคุมเข้มงบประมาณ ผลการดำเนินงานทางการคลังที่อ่อนแอ และการขาดดุลที่ระดับสูงในปี 2568

เกิดอะไรขึ้นกับฝรั่งเศส

การเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็น อันดับที่ต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดอันดับให้กับฝรั่งเศสโดยสถาบันจัดอันดับเครดิตรายใหญ่ และส่งผลให้ฝรั่งเศสอยู่ในระดับเดียวกับประเทศอย่างเอสโตเนีย มอลตา ซาอุดีอาระเบีย และจีน และห่างจากประเทศเพื่อนบ้านในยูโรโซนอย่างเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ที่ยังคงมีอันดับ AAA แม้ว่าแนวโน้มของอันดับความน่าเชื่อถือจะยังคง 'มีเสถียรภาพ' (Stable) แต่การปรับลดครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญต่อสถานะทางการคลังและภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศ

 

ฟิทช์ระบุ 4 ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจปรับลดอันดับในครั้งนี้

  • หนี้ท่วม

ฝรั่งเศสมีหนี้ของรัฐบาลที่สูงมากและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหนี้สาธารณะของฝรั่งเศสได้พุ่งสูงถึง 3,345.8 ล้านยูโร หรือ 114% ของ GDP ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2568 และคาดว่าหนี้จะพุ่งไปถึง 121% ของ GDP ในปี 2570  จาก 113.2% ในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่นๆ ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกันถึง 2 เท่า การมีหนี้เยอะขนาดนี้ทำให้รัฐบาลมีทางเลือกน้อยลงในการรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจในอนาคต

  • การเมืองแตกแยก

ความแตกแยกทางการเมืองที่เห็นได้จากการเปลี่ยนรัฐบาลถึง 3 ชุดในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้การกำหนดนโยบายงบประมาณเป็นไปได้ยาก  สถานการณ์นี้ยังทำให้เป้าหมายการลดการขาดดุลลงมาอยู่ที่ 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ตามแผนเดิมนั้นดูเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย 

ฟิทช์มองว่าการเมืองที่ชะงักงันอาจดำเนินต่อไปจนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2570 และทำให้ปัญหาการคลังยิ่งแย่ลงไปอีก

  • การคลังที่อ่อนแอ

ฝรั่งเศสมีประวัติการจัดการการคลังที่อ่อนแอ โดยการ “ขาดดุล” งบประมาณเกิน 3% ของ GDP มาเกือบตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และไม่มีการเกินดุลการคลังขั้นต้นเลยตั้งแต่ปี 2544 

ฟิทช์คาดว่าในปี 2568 การขาดดุลจะสูงถึง 5.5% ของ GDP ซึ่งยังคงสูงเมื่อเทียบกับยูโรโซนที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.7% และกลุ่ม 'A' ที่ 2.9%

  • ความยืดหยุ่นทางการคลังที่จำกัด 

ความยืดหยุ่นในการจัดการการคลังของฝรั่งเศสก็อยู่ในระดับต่ำ หรือฝรั่งเศสแทบจะไม่มีช่องทางในการหารายได้เพิ่มหรือลดค่าใช้จ่ายได้เลยเนื่องจากประเทศมีสัดส่วนภาษีต่อ GDP สูงที่สุดในสหภาพยุโรปอยู่แล้ว ทำให้ไม่สามารถขึ้นภาษีได้อีกมากนัก พราะอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนอย่างรุนแรง

ในขณะเดียวกัน การลดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมเช่น สวัสดิการสังคม การศึกษา และสาธารณสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรงมาอย่างยาวนาน การพยายามลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้จึงมักจะเผชิญกับการต่อต้านทางการเมืองและสังคมอย่างหนัก ปัจจัยทั้งหมดนี้รวมกันทำให้ฟิทช์มองว่าการแก้ปัญหาทางการเงินของฝรั่งเศสเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งในอนาคตอันใกล้

ถูกหั่นเครดิต แรงกดดันสู่การ ’ปฏิรูปการคลัง’

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่เป็น สัญญาณเตือนสำคัญสำหรับฝรั่งเศสหลายอย่างที่อาจนำไปสู่การ “ปฏิรูปการคลัง” 

  • ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น

 การปรับลดอันดับอาจ เพิ่มต้นทุนการกู้ยืมสำหรับรัฐบาลฝรั่งเศส เนื่องจากนักลงทุนมองเห็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การจ่ายดอกเบี้ยหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น หนี้ของฝรั่งเศสได้อยู่ภายใต้แรงกดดันอยู่แล้ว ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมใกล้เคียงกับอิตาลี ซึ่งมีภาระหนี้สูงที่สุดเป็นอันดับสองในยูโรโซน

  • แรงกดดันต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่

 การปรับลดอันดับเพิ่มแรงกดดันต่อนายกรัฐมนตรี เซบัสเตียง เลอกอร์นูว์  (Sébastien Lecornu) ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ให้เร่งผลักดันการปฏิรูปงบประมาณท่ามกลางรัฐสภาที่แตกแยก รัฐบาลฝรั่งเศสจะต้องเร่งสร้างเสถียรภาพทางการคลังและลดการขาดดุล คาดว่านายกรัฐมนตรี เลอกอร์นูว์อาจต้องเจรจาประนีประนอมกับพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งอาจรวมถึงการเพิ่มภาษีคนรวยและการปรับลดความรุนแรงของการปฏิรูปสังคม 

อย่างไรก็ตาม การประนีประนอมมากเกินไปก็อาจเสี่ยงต่อการทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคของมาครงเองและพรรคอนุรักษ์นิยมไม่พอใจ

 แนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต 

ฟิทช์คาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่แท้จริงในระดับปานกลาง โดยอยู่ที่ 0.6% ในปี 2568, 0.9% ในปี 2569 และ 1.2% ในปี 2570 ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวที่ 1.1% ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ 

อย่างไรก็ตาม อันดับ 'A+' ของฝรั่งเศสยังคงได้รับการสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ มีความหลากหลาย และมีรายได้สูง รวมถึงคุณภาพสถาบันที่แข็งแกร่ง การเป็นสมาชิกยูโรโซน และภาคธนาคารที่มั่นคง

สุดท้ายแล้ว การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสโดยฟิทช์เป็นสัญญาณเตือนสำคัญถึงความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับฝรั่งเศสในการจัดการกับภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น และแก้ไขปัญหาความแตกแยกทางการเมือง เพื่อฟื้นฟูวินัยทางการคลังและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และเพื่อหลีกเลี่ยงการเสื่อมถอยของสถานะความน่าเชื่อถือในอนาคต

อ้างอิง fitchratings  eurasiabusinessnews