‘อเมริกันดรีม’ กำลังเลือนลาง ไม่เชื่อว่าคนรุ่นต่อไปจะมีชีวิตดีขึ้น

‘อเมริกันดรีม’ กำลังเลือนลาง ไม่เชื่อว่าคนรุ่นต่อไปจะมีชีวิตดีขึ้น

ผลสำรวจชี้ ชาวอเมริกัน 70% ไม่เชื่อใน "อเมริกันดรีม" เงินเฟ้อและวิกฤติจ้างงาน บั่นทอนความหวังของคนรุ่นใหม่ในสหรัฐ ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าคนรุ่นต่อไปจะมีชีวิตที่ดีขึ้น

ความเชื่อที่ว่า “หากทำงานหนักก็จะประสบความสำเร็จได้” หรือที่รู้จักกันในนาม “อเมริกันดรีม” กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกา ผลสำรวจล่าสุดจาก Wall Street Journal และ NORC เผยให้เห็นภาพความไม่พอใจทางเศรษฐกิจที่แพร่หลายในหมู่ชาวอเมริกัน โดยสวนทางกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ผลสำรวจชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่ามีเพียง 25% ของชาวอเมริกันเท่านั้นที่ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 1987 และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ เกือบ 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่มั่นใจในแนวคิดอเมริกันดรีมอีกต่อไป ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี สะท้อนถึงช่องว่างที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างความรู้สึกของประชาชนกับตัวเลขเศรษฐกิจมหภาค

Investopedia ได้ออกรายงานประมาณการว่าในปี 2025 การใช้ชีวิตตาม "ความฝันแบบอเมริกัน" ซึ่งประกอบด้วย 8 เสาหลักของความปรารถนาในชนชั้นกลาง

‘อเมริกันดรีม’ กำลังเลือนลาง ไม่เชื่อว่าคนรุ่นต่อไปจะมีชีวิตดีขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการเป็นเจ้าของบ้าน การเกษียณอายุ การเลี้ยงดูบุตร การแต่งงาน รถยนต์คันใหม่ การดูแลสุขภาพ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง และการไปเที่ยวพักผ่อนประจำปี จะมี ค่าใช้จ่ายตลอดช่วงชีวิตรวมกว่า 5 ล้านดอลลาร์   หรือราว 158 ล้านบาท

ความรู้สึกเปราะบางท่ามกลางความมั่นคง

แม้ว่าผลสำรวจจะพบว่ามุมมองต่อเศรษฐกิจในปัจจุบันดีขึ้นเล็กน้อย โดยมี 44% ที่ให้คะแนนเศรษฐกิจว่า “ยอดเยี่ยมหรือดี” เพิ่มขึ้นจาก 38% เมื่อหนึ่งปีก่อน แต่ชาวอเมริกันจำนวนมากยังคงรู้สึกถึง ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าสถานะทางการเงินของพวกเขาจะดูมั่นคงเพียงใดก็ตาม

ศาสตราจารย์ Neale Mahoney จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชี้ว่าความรู้สึกทางเศรษฐกิจและตัวชี้วัดเศรษฐกิจเริ่มเคลื่อนไปในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับที่ติดลบมากกว่าที่ตัวชี้วัดดั้งเดิมคาดการณ์ไว้

  ‘อเมริกันดรีม’ กำลังเลือนลาง ไม่เชื่อว่าคนรุ่นต่อไปจะมีชีวิตดีขึ้น

“ช่องว่างที่น่าตกใจ” นี้เกิดขึ้น แม้แต่ในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งโดยปกติจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นของผู้คน แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

2 สาเหตุหลักของความกังวล

นักเศรษฐศาสตร์และประชาชนทั่วไปต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “ภาวะเงินเฟ้อ” และ ความกังวลใน“ตลาดแรงงาน” คือสาเหตุหลักที่กัดเซาะความเชื่อมั่นของผู้คน

  • เงินเฟ้อและค่าครองชีพสูง

แม้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมจะลดลง แต่ราคาที่สูงขึ้นยังคงเป็นสาเหตุของความตึงเครียดทางการเงินสำหรับชาวอเมริกันเกือบ 

60% Christina Stephens พนักงานเทคโนโลยีวัย 46 ปีจากรัฐวอชิงตันกล่าวว่า “ค่าเช่าสูงลิ่ว เงินเฟ้อกำลังฆ่าเรา” และสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาเหล่านี้กำลังบีบให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากต้องกลับไปพึ่งพาครอบครัว

ผลสำรวจพบว่าชาวอเมริกันน้อยกว่าหนึ่งในสี่เท่านั้นที่มีความมั่นใจว่าจะสามารถซื้อบ้านได้ ความฝันที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองกำลังเลือนลางไป จากราคาบ้านที่พุ่งสูงและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้แม้แต่ผู้ที่มีรายได้สูงก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้

  • ความกังวลในตลาดแรงงาน

ความเชื่อที่ว่าการทำงานหนักจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในอาชีพกำลังถูกตั้งคำถาม Bill Sanchez ทนายความวัย 30 ปีกล่าวว่า “มีข้อจำกัดว่าการทำงานหนักจะให้อะไรกับผู้คนได้ในทุกวันนี้” ความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่อตลาดแรงงานก็เริ่มส่งผลกระทบเช่นกัน ตัวอย่างเช่น Jerry Esch ที่ถูกเลิกจ้างจาก Microsoft และลูกเขยของเขาที่มีปริญญา MBA ก็ยังพบว่าการหางานที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง

‘อเมริกันดรีม’ กำลังเลือนลาง ไม่เชื่อว่าคนรุ่นต่อไปจะมีชีวิตดีขึ้น

ความไม่พอใจทางเศรษฐกิจนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่กระจายตัวไปในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ หรือรายได้สูง-ต่ำ

Karlyn Bowman ผู้เชี่ยวชาญจาก American Enterprise Institute มองว่าอารมณ์สาธารณะที่เป็นลบนี้คือผลพวงจากการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจมาเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008-09, การระบาดใหญ่ของโควิด-19 และมาจนถึงภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน เธอนิยามสถานการณ์นี้ว่าเป็น “หายนะสามเด้ง” ที่ทำให้ชาวอเมริกันเริ่มสูญเสียความรู้สึกพิเศษของตนเองไป

ในขณะที่ผู้นำทางการเมืองต่างยืนยันว่าเศรษฐกิจของสหรัฐ “ร้อนแรงที่สุดในโลก” แต่ผลสำรวจกลับชี้ว่ามีชาวอเมริกันเพียง 17% เท่านั้นที่เห็นด้วย และเกือบ 40% เชื่อว่าประเทศอื่นมีเศรษฐกิจที่ดีกว่า 

สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความเชื่อมั่นของประชาชนกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ใหญ่กว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลนำเสนอ