เหตุโจมตี ‘กาตาร์’ ทำให้ ‘อิสราเอล’ ถูกโดดเดี่ยวหรือไม่

เหตุโจมตี ‘กาตาร์’ ทำให้ ‘อิสราเอล’ ถูกโดดเดี่ยวหรือไม่

ผู้นำโลกออกมาวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลทันที ถึงความเหมาะสม ในเหตุโจมตีกาตาร์ ซึ่งมุ่งเป้าไปยังผู้นำการเมืองของกลุ่มฮามาส ที่กำลังหารือเรื่องการหยุดยิงในฉนวนกาซา

KEY

POINTS

  • การโจมตีกาตาร์ อาจหมายความว่า บรรดาพันธมิตรของอิสราเอล ซึ่งปกติแล้วจะค่อนข้างระมัดระวังในการวิพากษ์วิจารณ์   ได้เปลี่ยนทิศทางของพวกเขาไปแล้ว
  • เหตุการณ์นี้ หลักฐานล่าสุดบ่งชี้อิสราเอลไม่ใส่ใจกฎหมายระหว่างประเทศ และกำลังสร้างความไม่มั่นคงในตะวันออกกลางมากขึ้นเรื่อยๆ
  • สิ่งที่จะบ่งบอกว่า สหรัฐรู้สึกผิดหวังกับอิสราเอลหรือไม่ ก็คือ ถ้าทรัมป์กดดันอิสราเอล ให้ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง และยุติสงครามในฉนวนกาซา แต่หากดูหลักฐานในอดีต เรื่องนี้อาจเป็นไปไม่ได้มากนัก เพราะเมื่อใดสหรัฐทำเช่นนั้น ก็มีโอกาสที่อิสราเอลจะถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนอิสราเอลที่เสียงดังที่สุดระบุว่า “ไม่พอใจในทุกด้านต่อเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้”

ขณะที่เยอรมนีผู้ให้การสนับสนุนอิสราเอลมาอย่างยาวนาน ก็ยังประกาศ “ยอมรับไม่ได้ และบอกว่า เหตุการณ์นี้ได้ละเมิดอธิปไตยกาตาร์”

ส่วนอินเดียภายใต้การนำของนเรนทรา โมดี ผู้นำชาตินิยมซึ่งส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนอิสราเอล ก็ได้เตือน “การยกระดับความรุนแรง” และยังแสดงความกังวลอย่างยิ่งในเรื่องนี้

หากแต่การกล่าวพูดประณามเหตุโจมตีของอิสราเอล อาจไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายเชิงนโยบาย เพราะอิสราเอลเพิกเฉยต่อกฎหมายระหว่างประเทศมาโดยตลอด ในช่วงสงครามในฉนวนกาซา ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตมากกว่า 64,000 คน ทำลายบ้านเรือนในดินแดนที่ราบสูง และผู้คนอดอยาก โดยที่อิสราเอลยังคงก่อโจมตีเพื่อนบ้านซ้ำๆ และปฏิเสธคำวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติอย่างต่อเนื่อง

อิสราเอล ไม่เคยเปลี่ยน

"เราอาจสันนิษฐานได้ว่า การโจมตีเหล่านี้อาจหมายความว่า บรรดาพันธมิตรของอิสราเอล ซึ่งปกติแล้วจะค่อนข้างระมัดระวังในการวิพากษ์วิจารณ์   ได้เปลี่ยนทิศทางของพวกเขาไปแล้ว แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้มากนักหรอก"  เอช.เอ. เฮลเยอร์ เจ้าหน้าที่อาวุโสสถาบันรอยัล ยูไนเต็ต เซอร์วิส และศูนย์เพื่อความก้าวหน้าอเมริกันกล่าว

“ในด้านนโยบาย อิสราเอลก่อสงครามทำลายล้างครั้งใหญ่ในฉนวนกาซา นำไปสู่การกล่าวหาเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการละเมิดอำนาจอธิปไตยเลบานอน ซีเรีย เยเมน อิหร่าน และตูนิเซียในช่วงสองปีที่ผ่านมา” เฮลเยอร์ กล่าวเสริม “คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายใดๆ ของอิสราเอล”

การเปลี่ยนแปลงระดับโลก

อิทธิพลทางการทูตของกาตาร์ที่เพิ่มมากขึ้น และความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสหรัฐ ส่งสัญญาณสำคัญต่อเหตุการณ์โจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ ซึ่งล้มเหลวในภารกิจสังหารผู้นำกลุ่มฮามาส แต่กลับสังหารสมาชิกฮามาสระดับปฏิบัติการ 5 ราย และเป็นผลให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของกาตาร์เสียชีวิต 1 นาย อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ชี้ว่า สถานะความสัมพันธ์ของกาตาร์ที่มีต่อสหรัฐยังไม่เพียงพอ ถึงขั้นเปลี่ยนนโยบายระดับโลกที่มีต่ออิสราเอล

“ความคิดเห็นของสาธารณชนระหว่างประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ” คาริม เอมิล บิตาร์ ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยเซนต์โจเซฟของเบรุต แสดงความเห็นว่า ในสาธารณชนเกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา ภาวะความอดอยาก และความจริงที่กลุ่มนักวิชาการชั้นนำอิสราเอลกำลังเรียกสิ่งนี้เป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”

บิตาร์กล่าวว่า การโจมตีกาตาร์นั้น มีแนวโน้มในอ่าวเปอร์เซีย มีทัศนคติต่ออิสราเอลแข็งกร้าวยิ่งขึ้น มากกว่าที่อื่นๆ

บรรดาผู้นำอ่าวอาหรับกำลังเดินทางไปรวมตัวที่โดฮาเพื่อแสดงความสามัคคี โดยที่ ชีค โมฮัมเหม็ด บิน อับดุลราห์มาน อัล ธานี นายกรัฐมนตรีกาตาร์ เผยว่า ประเทศต่างๆ ในอ่าวอาหรับจะหารือถึงการตอบสนองต่อการกระทำของอิสราเอล

สำหรับประเทศอื่นๆ การโจมตีกาตาร์เป็นหลักฐานล่าสุดบ่งชี้อิสราเอลไม่ใส่ใจกฎหมายระหว่างประเทศ และกำลังสร้างความไม่มั่นคงในตะวันออกกลางมากขึ้นเรื่อยๆ

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดที่สุดอย่างหนึ่งมาจากยุโรป ตามที่มีประเทศจำนวนหนึ่งรวมถึงสหภาพยุโรปเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลมากขึ้น และเริ่มขู่จะคว่ำบาตร

ล่าสุด สเปนได้ประกาศห้ามส่งอาวุธอย่างเป็นทางการให้กับอิสราเอล และห้ามเรือบรรทุกเชื้อเพลิงของกองทัพอิสราเอลผ่านท่าเรือต่างๆ ขณะเดียวกัน นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เสนออาจมีการคว่ำบาตร รวมถึงการระงับข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและอิสราเอลด้วย

สองมาตรฐาน

ท่าทีชาติตะวันตกต่อต้านอิสราเอล ยังถือว่าน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับการโดดเดี่ยว และคว่ำบาตรรัสเซีย หลังมอสโกรุกรานยูเครน ในทางกลับกันอิสราเอลเริ่มก่อเหตุการณ์รุนแรงในตะวันออกกลางมากขึ้นเรื่อยๆ

อิสราเอลไม่ได้แสดงความเสียใจต่อการโจมตีกาตาร์ หรือให้เหตุผลกับประเทศอื่นๆ ที่ออกมาแสดงความหวังว่า ดินแดนของตนเอง จะไม่ถูกโจมตีในลักษณะเดียวกันนี้

นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ดูเหมือนจะไม่สำนึกผิดแต่อย่างใด และยังกล่าวถึงการโจมตีครั้งนี้ว่า อิสราเอลเป็นผู้เริ่ม ดำเนินการ และรับผิดชอบอย่างเต็มที่

“อิสราเอลก้าวข้ามเส้นแดงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ร็อบ ไกสต์ พินโฟลด์ อาจารย์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศประจำคิงส์คอลเลจลอนดอนกล่าว “ทุกครั้งที่อิสราเอลฝ่าข้ามแม่น้ำรูบิคอน ก็จะย้อนกลับมาทำซ้ำอีก”

“ประเทศในยุโรปสามารถพูดและทำอะไรตามชอบ” เขากล่าวเสริม “แต่สำหรับเรื่องนี้ กลับยังไม่มีมาตรการเพียงพอที่จะยับยั้ง หรือหยุดยั้งอิสราเอลโจมตีในสถานที่ที่พวกเขาต้องการ”

ทรัมป์ กุญแจสำคัญ

เกสต์ พินโฟลด์ ชี้ว่า คนหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงอิสราเอลได้ นั่นก็คือ "โดนัลด์ ทรัมป์" และ “สามารถหยุดอิสราเอลได้”

สหรัฐสนับสนุนอิสราเอลหลายพันล้านดอลลาร์ รวมถึงการจัดหาอาวุธ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า อิสราเอลจะมีอำนาจทางทหารเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด นอกจากนี้ สหรัฐยังสนับสนุนอิสราเอลทางการทูต เพื่อให้แน่ใจว่า มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ต่อต้านอิสราเอลนั้นกระทำได้ยาก และถึงขั้นคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จากศาลอาญาระหว่างประเทศที่กล้ากล่าวหาเนทันยาฮู ว่าเป็นอาชญากรสงคราม

ทรัมป์เองก็ได้รับความชื่นชมจากอิสราเอลที่สนับสนุนนโยบายอิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครั้งที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ได้ประกาศยอมรับเยรูซาเล็ม ซึ่งรวมถึงเยรูซาเล็มตะวันออก ให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล

ชาวอิสราเอลฝ่ายขวาจำนวนมากมองว่า ในช่วงทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เอื้อโอกาสที่ดีเพื่อบรรลุเป้าหมายของพวกเขา เช่น การผนวกดินแดนเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง พวกเขาเชื่อว่า สหรัฐแทบจะไม่ทำอะไรเลย เพื่อหยุดยั้งอิสราเอล

แม้ทรัมป์จะใช้วาทศิลป์พูดผลักดันข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา แต่เขากลับสนับสนุนจุดยืนอิสราเอลเป็นส่วนใหญ่ และยังเสนอให้เปลี่ยนดินแดนปาเลสไตน์เป็น "ริเวียร่ากาซา" ซึ่งจะเชื่อมกับสิ่งที่นักวิจารณ์เรียกว่า การกวาดล้างทางชาติพันธุ์ของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาด้วย

การทิ้งระเบิดกาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ทรัมป์ไปเยือนไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสองในปีนี้ สำหรับประธานาธิบดีสหรัฐแล้ว ถือเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากการปฏิบัติของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่ทำเนียบขาวพูดถึงการทิ้งระเบิดของอิสราเอล กลับทำให้วอชิงตันดูมีความน่าเชื่อถือได้ ด้วยการพูดว่า รัฐบาลสหรัฐเพิ่งทราบเรื่องการโจมตีในนาทีสุดท้าย และพยายามแจ้งข้อมูลให้กาตาร์ทราบทันเวลา

ทั้งนี้ สิ่งที่จะบ่งบอกว่า สหรัฐรู้สึกผิดหวังกับอิสราเอลหรือไม่ ก็คือถ้าทรัมป์กดดันอิสราเอลที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐ ให้ยอมรับข้อตกลงหยุดยิง และยุติสงครามในฉนวนกาซา

หากดูหลักฐานในอดีต เรื่องนี้อาจเป็นไปไม่ได้มากนัก เพราะเมื่อใดสหรัฐทำเช่นนั้น ก็มีโอกาสที่ในอนาคตอิสราเอลจะถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ

“เมื่อพูดถึงภาพรวมระดับโลก สิ่งเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้คือ สหรัฐ” บิตาร์กล่าว และระบุว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดนัลด์ ทรัมป์”

 

 

อ้างอิง Aljazeera