เปิดตัว ‘จาง เจี้ยนเว่ย’ ทูตจีนคนใหม่ ฉลอง 50 ปีสัมพันธ์การทูต

ปี 2568 เป็นปีอันมีความหมายยิ่งในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย และ “50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย”
ปี 2568 เป็นปีอันมีความหมายยิ่งในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต จีน-ไทย และ “50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย”
ในจังหวะนี้ประเทศไทยได้ต้อนรับ “จาง เจี้ยนเว่ย” เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย ซึ่งเจ้าตัวได้เปิดสถานทูตพบปะพูดคุยกับสื่อมวลชนไทยเกี่ยวกับ “อนาคตใหม่ของความร่วมมือจีน-ไทย” อย่างอบอุ่น เมื่อวันที่ 11 ก.ย.
"ผมยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับมอบหมายจาก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้มารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ผู้มีอำนาจเต็มคนที่ 14 เป็นหน้าที่ที่เป็นเกียรติยศเป็นอย่างยิ่ง จีนกับไทยเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่เป็นมิตรต่อกัน ทั้งสองประเทศยืนหยัด เคารพซึ่งกันและกัน ดำรงความร่วมมืออย่างเป็นมิตรและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" ทูตจางกล่าวและว่า ความสัมพันธ์จีนไทยพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นเพราะผู้นำของทั้งสองประเทศมีบทบาทสำคัญในการชี้นำความสัมพันธ์ พระบรมวงศานุวงศ์ของประเทศไทยทรงมีความสนพระทัยสนับสนุน ความสัมพันธ์จีน-ไทย อย่างต่อเนื่อง มิตรภาพที่เรียกว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” ได้มาจากความสัมพันธ์ที่คบกันมามากกว่าหนึ่งพันปี ประชาชนสองประเทศเข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างพลวัตให้ความสัมพันธ์พัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ปีนี้ ครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ฝ่ายจีนพร้อมทำงานร่วมกับฝ่ายไทยยืนหยัดทัศนะการบริหารโลกที่เรียกว่าหารือซึ่งกันและกัน สร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน และแบ่งปันซึี่งกันและกัน ใช้ทั้งกลไกทวิภาคีและภูมิภาค ส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การค้า การลงทุน เอไอ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปฏิบัติข้อริเริ่มการบริหารโลกอย่างเป็นรูปธรรมตามที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงให้ไว้ในการประชุมผู้นำองค์การความร่วมือเซี่ยงไฮ้ (เอสซีโอ) เมื่อหลายวันก่อน ส่งเสริมให้ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีนกับไทยเข้าสู่ขั้นใหม่อีกขึ้นหนึ่ง
ให้ความสำคัญสัมพันธ์ไทย
ช่วงตอบคำถามจากสื่อมวลชน ทูตจางกล่าวว่า แม้มาทำงานที่เมืองไทยได้เพียง 40 กว่าวัน แต่เมื่อได้พบปะบุคคลต่างๆ พบว่า ทุกคนมีความหวังที่สดใสต่อความสัมพันธ์จีน-ไทยในอีก 50 ปีข้างหน้า ภายใต้สถานการณ์โลกที่ผันผวนในปัจจุบันถ้าความสัมพันธ์จีน-ไทยพัฒนาดียิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่จะสร้างความผาสุกสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทั้งสองประเทศ แต่จะเป็นประโยชน์ในการสร้างความมั่นคงให้กับภูมิภาคด้วย
“จีนถือว่าไทยเป็น priority ในการพัฒนาการทูตระหว่างเพื่อนบ้าน และคิดว่าไทยเป็นหุ้นส่วนที่จะดำเนินความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง และเป็นหุ้นส่วนข้อริเริ่มการพัฒนา ความมั่นคง อารยธรรม และธรรมาภิบาลโลก โดยประเทศจีนเป็นเพื่อนมิตรที่ประเทศไทยพึ่งพาและเชื่อถือได้ตลอด ไม่ว่าด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การศึกษา หรือด้านอื่นๆ จีนพร้อมร่วมมือแลกเปลี่ยนกับไทยให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น”
ช่วยกันสื่อสารทางบวก
สำหรับข่าวสารด้านลบเกี่ยวกับความร่วมมือจีน-ไทย เช่น ทุนจีนสีเทา หรือข่าวคนจีนมาเที่ยวไทยแล้วไม่ปลอดภัย ทูตจางกล่าวว่า ทั้งหมดนี้ต้องมองในแง่ภววิสัย ในครอบครัวพี่น้องทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา เราต้องวิเคราะห์อย่างรอบคอบว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือสื่อรายงานเพี้ยนไป
“ก่อนที่ผมจะมาทำงานที่เมืองไทย เพื่อนคนจีนบอกว่า เมื่อพูดถึงเมืองไทยตอนนี้ยังไม่มั่นใจว่าจะปลอดภัยหรือเปล่า แต่หลังจากที่ผมได้มาเมืองไทยแล้ว พบว่าไม่ใช่เลย” ท่านทูตกล่าวพร้อมเสริมว่า กรณีหวังซิงถูกลักพาตัวในเมียนมานั้นจริงๆ แล้วไม่เกี่ยวข้องกับไทยเลย แต่สื่อไปรายงานข่าวใหญ่โตทำให้เกิดความไม่เข้าใจต่อสถานการณ์ที่แท้จริงของเมืองไทย รัฐบาลไทยได้พยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้งในด้านความปลอดภัยและการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายในเมืองไทย
สถานทูตจีนทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ของไทย เป้าหมายคือต้องให้ประชาชนชาวจีนรู้ว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่ปลอดภัย งดงาม ซึ่งเรื่องนี้สื่อมีบทบาทอย่างมากจึงขอให้สื่อรายงานข่าวในเชิงบวก
จีนเทาเป็นคนส่วนน้อย
ส่วนเรื่องทุนจีนสีเทาที่คนไทยจับตามองมาก ทูตจีนระบุ ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจมีคนจีนบางคนมาทำงานในเมืองไทยอย่างผิดกฎหมาย แต่มีจำนวนน้อยมาก ตอนนี้มีนักลงทุนและบริษัทจีนสนใจมาลงทุน สร้างโรงงานที่ประเทศไทยมากเพราะมองเห็นแล้วว่า ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ประชาชนเป็นมิตรต่อกัน นักธุรกิจจีนส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมีความคิดว่าต้อง “อยู่ไทย เพื่อไทย”
ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนและสถานทูตจีนกำชับบ่อยครั้งกับบริษัทจีนที่ทำธุรกิจในเมืองไทยว่า ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ต้องรับผิดชอบต่อสังคม สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนในท้องถิ่นด้วย ซึ่งบริษัทจีนที่มาขยายธุรกิจในเมืองไทยไม่ได้ทำประโยชน์แค่การสร้างงานแต่ยังปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้ช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทย ดังนั้นการที่บริษัทจีนมาขยายธุรกิจในไทยก็เป็นความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ให้กับทั้งสองฝ่าย
“ถ้ามองว่าธุรกิจจีนมาเอาเปรียบคนไทยก็เป็นการมองในแง่ลบซึ่งไม่ถูกต้อง” จึงอยากให้มองธุรกิจจีนอย่างรอบด้านแบบภววิสัย ไม่ควรมองกรณีเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นภาพใหญ่ ควรมองภาพบวกเป็นหลัก ไม่เช่นนั้นแล้วจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทจีนที่มีต่อประเทศไทย สร้างปัจจัยลบให้กับความสัมพันธ์จีนไทย
“อีกไม่กี่วันข้างหน้าเป็นวันหยุดยาวแปดวันช่วงวันชาติจีน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนสนใจมาเที่ยวไทยมากมาย ก็หวังว่าในเวลานั้นประเทศไทยจะมีสภาพแวดล้อมท่ี่เป็นมิตร มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวคุณภาพสูงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีน” ทูตจีนให้ความหวัง
ไทยไม่ใช่มณฑลไท่กั๋ว
อีกหนึ่งความกังวลที่สื่อมวลชนไทยยกมาถามคือ “ประเทศไทยจะถูกจีนยึดครองเป็นมณฑลไท่กั๋วหรือไม่” เรื่องนี้ทูตจางตอบชัด
“ประชาชนคนไทย 70 ล้านคน ประชาชนจีน 1,400 ล้านคนไม่มีวันยอมแน่ๆ” พร้อมยกตัวอย่างว่า หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์จีน-ไทยไปมาหาสู่กันมานับพันปี เมื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตก็มีความสัมพันธ์กันมา 50 ปี ซึ่งจีนกับไทยต่างยืนหยัดหลักการเคารพซึ่งกันและกัน เสมอภาคกัน เป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน ความร่วมมือยึดหลักการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน นโยบายต่างประเทศจีนยึดหลักการส่งเสริมการพัฒนาแบบสันติภาพ ความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน "Win Win ทั้งสองฝ่าย"
จีนคบหากับประเทศต่างๆ ทั่วโลกบนหลักความเสมอภาค ไม่ว่าประเทศเล็ก ประเทศใหญ่ ประเทศรวย หรือประเทศกำลังพัฒนา ทุกประเทศล้วนเป็นเพื่อน เป็นหุ้นส่วน จีนไม่เคยแสวงหาการยึดครองพื้นที่ ตลอด 76 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ไม่เคยทำสงครามกับประเทศอื่น ไม่เคยบุกรุกประเทศอื่น และจีนคัดค้านการทำสงคราม เน้นพัฒนาตนเองให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น พัฒนาอย่างมีเสถียรภาพทั้งภายในประเทศเองและในสังคมโลก ซึ่งการพัฒนาประเทศจีนจะนำมาซึ่งโอกาสให้กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกด้วย
“มีบางคนพยายามไปเสนอข่าวในเชิงลบว่าไทยอยู่ใต้อิทธิพลของจีนก็เป็นข่าวที่ไม่จริง ตั้งใจสร้างความไม่เข้าใจให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ อาจเป็นคนที่ไม่อยากเห็นความสัมพันธ์จีน-ไทยพัฒนาอย่างดี จึงอยากขอให้สื่อรายงานข่าวในเชิงบวก สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมิตรของสองประเทศ” เอกอัครราชทูตจีนกล่าวทิ้งท้าย





