‘ไทย’ ขยับขึ้นแรง 4 อันดับ แตะที่ 43 World Talent Ranking 2025

‘ไทย’ ขยับขึ้นแรง 4 อันดับ แตะที่ 43 World Talent Ranking 2025

ประเทศไทยขยับขึ้นจากอันดับ 47 สู่อันดับที่ 43 ในรายงานประเทศที่สามารถ "ดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพ" ประจำปี 2568 ปีนี้พบ 'แรงจูงใจทางการเงิน' เป็นเรื่องสำคัญสุดสำหรับทาเลนต์

“ประเทศไทย” ขยับขึ้นจากอันดับ 47 สู่อันดับที่ 43 ในรายงานประเทศที่สามารถ "ดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพ" ประจำปี 2568 หรือ IMD World Talent Ranking 2025 และยังนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ประเทศไทยสามารถขยับอันดับขึ้นได้ในแรงกิ้งระดับโลกนี้ หลังจากถดถอย หยุดนิ่ง มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ไทยอยู่จุดไหนของโลก และเอเชีย

หากเทียบเฉพาะในกลุ่มประเทศ “อาเซียน” ซึ่งมีการจัดอันดับ 5 ประเทศจะพบว่า ประเทศไทยอยู่ตรงกลางในอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่าปีนี้ “มาเลเซีย” ขยับอันดับขึ้นมาถึง 8 อันดับด้วยกันสู่อันดับที่ 25 ของโลก หรือดีที่สุดจากการย้อนสถิติช่วงห้าปี โดยมีเกณฑ์ชี้วัดหลักทั้งสามเกณฑ์ปรับตัวดีขึ้นทั้งหมด ส่วน “สิงคโปร์” ร่วงแรงจากอันดับ 2 ในปีที่แล้วมาอยู่อันดับ 7 ของโลกในปีนี้ โดยอ่อนแอลงในแง่การใช้จ่ายด้านการศึกษา และค่าครองชีพ

ขณะที่ “อินโดนีเซีย” ซึ่งเคยนำหน้าไทยอยู่ในอันดับที่ 46 ในปีที่แล้ว ปีนี้กลับร่วงแรงลงมาอยู่อันดับที่ 53 โดยมีแรงฉุดสำคัญในเรื่องการลงทุนด้านการศึกษา เช่น งบประมาณที่ลงไปกับการศึกษานั้นมีสัดส่วนเพียงแค่ 1.3% ของงบประมาณทั้งหมด อยู่ในอันดับที่ 66 ของโลก ส่วน “ฟิลิปปินส์” ลดลงหนึ่งอันดับมาอยู่ที่ 64 ของโลก

 

ส่วนในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ไทยอยู่ในอันดับที่ 10 จากทั้งหมด 14 เขตเศรษฐกิจ โดยมีห้าอันดับแรกคือ ฮ่องกง (4), สิงคโปร์ (7), ไต้หวัน (17), ออสเตรเลีย (19), และมาเลเซีย (25)          

‘ไทย’ ขยับขึ้นแรง 4 อันดับ แตะที่ 43 World Talent Ranking 2025

ประเทศไทยดีขึ้นแค่ไหน

World Talent Ranking (WTR) เป็นการจัดอันดับจากข้อมูลทางสถิติ และคำตอบจากแบบสำรวจ โดยมีเกณฑ์พิจารณา 3 ด้านหลัก คือ 1. การลงทุนและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Investment & Development) 2. ความสามารถในการดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพจากภายนอกประเทศ (Appeal) และ 3. ความพร้อมของบุคลากรที่มีอยู่ในประเทศ (Readiness) โดยจัดอันดับ 69 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก

ในรายงาน WTR 2025 ของปีนี้ พบว่า เกณฑ์ด้านการลงทุน และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยปรับตัวดีขึ้นมาก จากอันดับที่ 46 ในปีที่แล้ว ขึ้นไปอยู่อันดับที่ 41 ในปีนี้ มีตัวชี้วัดย่อยหลายข้อที่ดีขึ้น เช่น “โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข” ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ส่วนเกณฑ์ความพร้อมบุคลากรในประเทศปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ 47 จากอันดับที่ 49 ในปีที่แล้ว แต่ขยับขึ้นได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากตัวชี้วัดย่อยหลายข้อปรับตัวแย่ลง เช่น อัตราการเติบโตของแรงงาน, ทักษะแรงงาน, การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย และการศึกษาในระดับประถมและมัธยมศึกษา ส่วนตัวชี้วัดที่อยู่ในอันดับสูงคือ การสำเร็จการศึกษาด้าน STEM (จากจำนวนผู้เรียนจบทั้งหมด) อยู่ในอันดับที่ 8

ขณะที่เกณฑ์การดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพจากภายนอกประเทศ แย่ลงมาอยู่อันดับที่ 33 จากที่ 27 ในปีที่แล้ว โดยมีแรงฉุดหลักๆ จากตัวชี้วัดเรื่องภาวะสมองไหล (brain drain) ซึ่งลดลง 12 อันดับมาอยู่ที่ 41 และเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งลดลง 11 อันดับอยู่ที่ 49 ส่วนตัวชี้วัดบางรายการปรับตัวดีขึ้น เช่น ดัชนีค่าครองชีพอยู่อันดับที่ 22 แรงจูงใจในการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ในอันดับที่ 14 ซึ่งนับเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

‘ไทย’ ขยับขึ้นแรง 4 อันดับ แตะที่ 43 World Talent Ranking 2025

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมทั้งหมดนั้นประเทศไทยนับว่ามีการปรับอันดับดีขึ้น 4 อันดับเมื่อเทียบปีที่แล้ว ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 43 ของโลก ซึ่งหากย้อนไปในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้จะพบว่า นับตั้งแต่ที่เคยได้อันดับ 42 ของโลกเมื่อปี 2018 หลังจากนั้นมาความสามารถดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพของไทยก็ปรับตัวลดลงหรือคงที่มาโดยตลอด และลงไปแตะอันดับ 47 ในปีที่แล้ว ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นได้ในปีนี้

'แรงจูงใจทางการเงิน' คือสิ่งที่ Talent ต้องการ 

โลกของการทำงานเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยความสามารถในการแข่งขันของบุคลากรกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญของผลดำเนินงานทางเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกต้องพัฒนาเพื่อดึงดูด และรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูงในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเช่นนี้

IMD ระบุว่า ผลการจัดอันดับในปีนี้บ่งชี้ว่า “ความมั่นคงทางการเงินและผลประโยชน์ที่จับต้องได้” คือ ปัจจัยขับเคลื่อนที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุดสำหรับการย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศ ซึ่งแตกต่างจากยุคก่อนการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่คนมักจะให้น้ำหนักกับเรื่องคุณภาพชีวิต ความเหมาะสมทางวัฒนธรรม และภาษามากกว่า

ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูล 31 ชิ้นจาก 69 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ยังเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และค่าครองชีพ ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อความเต็มใจของบรรดาผู้บริหารที่จะย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ

“แรงจูงใจทางการเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับบรรดาผู้บริหารในประเทศที่เผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็จะเป็นปัจจัยต่ำที่สุดในสภาพแวดล้อมที่มีความมั่นคงทางการเงินหรือคาดการณ์ได้” โฮเซ กาบาเยโร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ IMD World Competitiveness Center กล่าว

AI-STEM คือ ความท้าทาย

ในรายงาน WTR 2025 พบว่า “สวิตเซอร์แลนด์” ยังคงรักษาตำแหน่งอันดับ 1 “ลักเซมเบิร์ก” อันดับ 2 และ “ไอซ์แลนด์” อันดับ 3 การครองอำนาจยาวนานกว่าทศวรรษของสวิตเซอร์แลนด์แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของความแข็งแกร่งของสถาบัน ระบบการศึกษาที่แข็งแกร่ง และกรอบนโยบายที่สอดคล้องกัน

อย่างไรก็ตาม ในบริบทของเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ๆ ในปัจจุบัน บริษัทต่างๆ ในสวิตเซอร์แลนด์กำลังประสบปัญหาในการหาบุคลากรที่มีความสามารถตามที่ต้องการมากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต

“แม้แต่ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในปัจจุบัน ก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการแก้ไขจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง เช่น ช่องว่างการมีส่วนร่วมทางเพศ และการขาดแคลนบุคลากรในสาขา STEM ซึ่งอาจท้าทายประสิทธิภาพในอนาคต” ฟาเบียง กริมม์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยของ WCC เตือน

ระเบียบโลกเปลี่ยนสำหรับทาเลนต์

การจัดอันดับนี้เกิดขึ้นท่ามกลางรายงานข่าวที่ตลาดแรงงานของ “สหรัฐ” อ่อนแรงลงอีกครั้งในเดือนส.ค. ทำให้เกิดความกังวลใหม่ๆ เกี่ยวกับสภาวะของประเทศเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปีนี้สหรัฐอยู่ในอันดับที่ 22 ของรายงาน WTR 2025 ซึ่งยังคงทรงตัวเมื่อเทียบปีที่แล้ว เช่นเดียวกับ “จีน” ที่อันดับ 38 เท่ากับปีที่แล้ว

ส่วนประเทศอื่นๆ นั้น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) อยู่อันดับที่ 9 ซึ่งเป็นการติดท็อปเทนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มจัดอันดับในปี 2014 แนวโน้มขาขึ้นของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์บ่งชี้ถึงการพัฒนาอย่างรวดเร็วของนโยบายที่เน้นผู้มีความสามารถ โครงสร้างพื้นฐาน และความน่าดึงดูดใจในระดับนานาชาติ

สิงคโปร์ตกลงมา 5 อันดับ โดยอาร์ตูโร บริส ผู้อำนวยการ WCC กล่าวว่า สิงคโปร์เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องการฝึกอบรมบุคลากรในการทำงาน แต่จุดอ่อนสำคัญอย่างหนึ่งในปีนี้คือ ดัชนีค่าครองชีพ

ส่วนสิบอันดับแรกส่วนใหญ่ยังคงเป็นของประเทศจาก “ยุโรป” ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับบริส โดยหนังสือเล่มใหม่ของเขาที่ชื่อว่า “SuperEurope: The Unexpected Hero of the 21st Century” ระบุว่า “เศรษฐกิจเหล่านี้เติบโตเต็มที่แล้ว พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วอายุคนในการพัฒนาระบบบุคลากรที่มีความสามารถ”

“ท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ความยั่งยืนของสายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ยังคงขึ้นอยู่กับการที่รัฐบาล และผู้นำภาคธุรกิจต้องไม่ละเลยทุกวิถีทางในการดึงดูด และรักษาบุคลากรที่มีความสามารถทั้งในและต่างประเทศเอาไว้ให้ได้” IMD ระบุ

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์