เบื้องหลัง ‘ไฟแค้นเนปาล’ หนุ่มสาวว่างงานสูง ฉ้อโกงฝังลึก

เบื้องหลัง ‘ไฟแค้นเนปาล’ หนุ่มสาวว่างงานสูง ฉ้อโกงฝังลึก

การลุกฮือในเนปาล ไม่ได้เกิดเพราะเพียงคำสั่งแบนโซเชียล แต่เป็นเสียงสะสมของความแค้นฝังลึก จากวิกฤติว่างงาน เรื่องฉาวคอร์รัปชันที่ไม่ถูกลงโทษ ไปจนถึงเกมบัลลังก์ชนชั้นนำที่วนเวียนไม่รู้จบ ทั้งหมดนี้ได้จุดไฟให้ Gen Z และประชาชนออกมาบนถนน ทวงถามการเปลี่ยนแปลง

เสียงโห่ร้อง และควันไฟปกคลุมทั่วกรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล เมื่อการประท้วงที่เริ่มจากคำสั่ง “แบนโซเชียลมีเดีย” อย่าง Facebook, Youtube, WhatsApp กลับลุกลามกลายเป็นคลื่นลุกฮือรุนแรง

แม้รัฐบาลจะยกเลิกคำสั่งแบนในวันถัดมา และนายกรัฐมนตรีเคพี ชาร์มา โอลี พร้อมคณะรัฐมนตรีหลายคนตัดสินใจลาออก แต่ไฟแห่งความโกรธยังไม่มอดลง ผู้ประท้วงบางส่วนตอบโต้ด้วยการเผารัฐสภา จับเหล่ารัฐมนตรีแก้ผ้า ลากถูไปตามพื้นถนน และทุบตีด้วยความโกรธแค้น อะไรคือ “เบื้องหลังของความแค้น” ที่ปะทุอย่างรุนแรงเช่นนี้

หางานยาก งานในประเทศไม่มี

หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศคือ “วิกฤติการจ้างงาน” การหางานในเนปาลนั้นเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2024 อัตราการว่างงาน “แตะเลขสองหลัก” อยู่ที่ 12.6% ซึ่งถือว่า “สูงมาก” โดยเฉพาะจากโครงสร้างประชากรที่มีหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่อย่างเนปาล

อันที่จริง ตัวเลขว่างงานที่แท้จริงควรสูงขึ้นกว่านี้ เพราะข้อมูลภาครัฐนับเฉพาะผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจที่เป็นทางการ โดยชาวเนปาลที่อยู่ในภาคเกษตรจำนวนมาก ยังไม่ได้ถูกคิดรวม อีกทั้งหากเป็นเยาวชนอายุ 15 - 24 ปี อัตราการว่างงานสูงแตะ 20.8% ตามข้อมูลของธนาคารโลกในปี 2024

เมื่อโอกาสงานในประเทศ “แทบไม่มี” หนุ่มสาวชาวเนปาลกว่าพันคนจึงต้องเดินทางออกนอกประเทศทุกวัน เพื่อทำงานตามสัญญาระยะยาวในประเทศที่อุดมด้วยน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย และมาเลเซีย ขณะเดียวกัน ยังมีแรงงานอีกนับหมื่นที่เลือกไปทำงานชั่วคราวในอินเดีย

ข้อมูลของรัฐบาลเผยว่า เพียงปีที่ผ่านมา มีชาวเนปาลกว่า 741,000 คน เดินทางออกจากประเทศ โดยส่วนใหญ่เข้าสู่ภาคการก่อสร้าง และเกษตรกรรมต่างแดน รายได้จากแรงงานเหล่านี้ถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ ซึ่งเนปาลพึ่งพา “เม็ดเงินจากการส่งเงินกลับบ้าน” อย่างมาก

ในปี 2024 เพียงปีเดียว เงินที่ถูกส่งกลับมามีมูลค่าราว 11,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3.5 แสนล้านบาท คิดเป็นกว่า 26% ของเศรษฐกิจประเทศ เงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ซื้ออาหาร ยารักษาโรค และส่งบุตรหลานเข้าเรียนในประเทศ

เรื่องฉาวคอร์รัปชัน ที่ไม่ถูกลงโทษ

หากจะมีสิ่งใดที่ต้องโทษว่า เป็นสาเหตุของปัญหาเศรษฐกิจทั้งหมดนี้ ชาวเนปาลจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่ร่วมประท้วง จะชี้ไปที่ “การทุจริต” พวกเขารังเกียจภาพของชนชั้นสูงชาวเนปาลเพียงไม่กี่คน สะสมทรัพย์สินมหาศาลให้กับลูกหลานของตน

องค์กร Transparency International ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอิสระที่มุ่งเน้นการตรวจสอบรัฐบาล จัดอันดับให้เนปาลเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการ “ทุจริตมากที่สุดในเอเชีย”

ตัวอย่างเช่น การสอบสวนของคณะกรรมาธิการรัฐสภาพบว่า เกิดการยักยอกเงินอย่างน้อย 71 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2,200 ล้านบาทในโครงการก่อสร้างสนามบินนานาชาติที่เมืองโปขรา โดยเงินกู้ที่ได้จากธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของจีน (China Exim Bank) ถูกทำให้ “หายไป” ผ่านการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และบริษัทก่อสร้างจากจีน แม้จะมีการแนะนำให้สอบสวนเพิ่มเติมและดำเนินการกับผู้ถูกกล่าวหา แต่กลับ “ไม่มีใครถูกดำเนินคดี”

ในอีกกรณีหนึ่ง มีการเปิดโปงว่า ผู้นำเนปาล “เรียกเก็บเงิน” จากคนหนุ่มสาวที่อยากไปทำงานในสหรัฐ โดยอ้างสิทธิในโควตาผู้ลี้ภัย ซึ่งเดิมทีตั้งใจไว้สำหรับชาวเนปาลเชื้อสายภูฏานที่ถูกบังคับเนรเทศออกจากภูฏาน

เอกสารปลอมถูกนำมาใช้ทำให้คนว่างงานชาวเนปาล กลายเป็น “ผู้ลี้ภัยชาวภูฏาน” ตามเอกสาร เพื่อสามารถขอไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐได้

ผลการสอบสวนพบว่า มีนักการเมืองจากทุกพรรคเกี่ยวข้อง แต่สุดท้าย กลับมีเพียงนักการเมืองฝั่งฝ่ายค้านเท่านั้นที่ถูกดำเนินคดี

“แม้ชนวนหลักของการประท้วง จะมาจากคำสั่งแบนโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานนี้ แต่ ‘สาเหตุสำคัญ’ ที่ทำให้ผู้คนหลายพันออกมาบนท้องถนน กลับเป็นปัญหาคอร์รัปชัน และการบริหารประเทศล้มเหลว ซึ่งเรื้อรังมายาวนาน” ชายวัย 28 ปีที่เข้าร่วมการประท้วง กล่าว

ชนชั้นนำที่ฝังราก กับ ‘เกมบัลลังก์’ ทางการเมือง

แม้เนปาลจะได้ประชาธิปไตยมาด้วยความยากลำบาก แต่ในความเป็นจริง ระบบการเมืองกลับไม่ตอบสนองความคาดหวังของประชาชน จนเป็นเหตุให้ผู้คนจำนวนมากออกมาชุมนุม

สำหรับผู้ประท้วงรุ่น Gen Z จำนวนไม่น้อย พวกเขาจับจ้องไปที่ลูกชาย และลูกสะใภ้ของอดีตนายกรัฐมนตรีเชอร์ บาฮาดูร์ เดอูบา รวมถึงบุตรหลานของนักการเมืองคนอื่นๆ ที่มักโพสต์หรือแสดงออกถึงการใช้ชีวิตหรูหรา ฟุ่มเฟือยบนโลกออนไลน์ สิ่งนี้ยิ่งทำให้ผู้ประท้วงรู้สึกขมขื่น และไม่พอใจ

นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในปี 2015 ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเนปาล หมุนเวียนอยู่แค่ 3 คน คือ นายชาร์มา โอลี, นายปุษปะ กามัล ดาฮาล และนายเดอูบา โดยแต่ละคนมักครองอำนาจได้เพียง 1–2 ปี ก่อนเปลี่ยนมือไปมา ลักษณะการเมืองเช่นนี้ถูกมองว่าเป็น “เกมชิงบัลลังก์” ทางการเลือกตั้ง และเป็นสิ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง

ล่าสุด ท่ามกลางโศกนาฏกรรมของชาติ ได้เกิดกระแสโกรธแค้นขึ้นในสังคมออนไลน์ หลังมีโพสต์ที่เป็นประเด็นร้อนถูกแชร์อย่างกว้างขวางบนแพลตฟอร์มอย่าง X (Twitter) และ Reddit โดยอ้างว่า สุปรียา เรสฏระ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นหลานสาวของอดีต รมต.กระทรวงต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูต เกดาร์ ภัคตะ เรสฏระ ถูกพบว่ากำลังพักผ่อนอยู่ที่ฝรั่งเศส ขณะที่ประชาชนในบ้านเกิดกำลังล้มตายจากการประท้วง

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้นำ และยกเลิกคำสั่งแบนโซเชียลมีเดีย แต่ประเด็นสำคัญที่จุดชนวนความโกรธแค้นในหมู่ Gen Z และชาวเนปาลทั่วไป “ยังคงอยู่” ปัญหาว่างงานสูง การทุจริตรุนแรง และความผิดหวังในระบบการเมือง ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ไฟการประท้วงยังคงดำเนินต่อไป และสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในประเทศ
 

 

 

อ้างอิง: nytimescnnabcindiatimes

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์