ศาลสูง ‘สหรัฐ’ ไฟเขียว บุกจับแรงงานต่างชาติ ‘ทรัมป์’ สั่งเนรเทศทันที 

ศาลสูง ‘สหรัฐ’ ไฟเขียว บุกจับแรงงานต่างชาติ ‘ทรัมป์’ สั่งเนรเทศทันที 

"ศาลฎีกาสูงสุดสหรัฐ" มีคำตัดสินกลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นรัฐแคลิฟอร์เนีย  ยกเลิกข้อกำหนดทางมนุษยธรรม เนรเทศแรงงานผิดกฎหมายออกนอกประเทศ "สหรัฐ" สุ่มเสี่ยงขาดแคลนแรงงาน

ศาลฎีกาสูงสุดของสหรัฐ (Supreme Court) มีมติ 6 ต่อ 3 เสียง กลับคำพิพากษาเดิมของศาลชั้นต้นรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยคำตัดสินนี้เปิดทางให้เจ้าหน้าที่สามารถบุกค้นพื้นที่เป้าหมายเพื่อจับกุมแรงงานผิดกฎหมาย ที่ลักลอบเข้ามาทำงานโดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนีย และให้การสนับสนุนนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเนรเทศแรงงานข้ามชาติออกนอกประเทศ 

คำตัดสินที่ออกมาได้สร้างความสั่นสะเทือนและความตื่นตระหนกอย่างมากในกลุ่มผู้อพยพ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดคำถามถึงความย้อนแย้งของนโยบายของรัฐบาลสหรัฐที่มุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศ แต่กลับเพิ่มความเข้มงวดในการกีดกันแรงงานที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในหลายภาคอุตสาหกรรม

ศาลฎีกาสูงสุดตัดสิน กลับคำพิพากษา  ยกเลิกข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมแก่แรงงาน

เมื่อวันที่ 1 ส.ค.  ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ส่งกองกำลังป้องกันตนเอง และนาวิกโยธินสหรัฐเข้าสู่เมืองลอสแอนเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเสริมกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนในการตอบโต้การประท้วงต่อต้านการจับกุมแรงงาน 

ชาวอเมริกันหลายคนให้ความเห็นต่อการใช้กำลังทางทหารของทรัมป์ในครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งที่เกินกว่าเหตุ และได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในชุมชนผู้อพยพเป็นอย่างมาก และทำให้มาอาม เอวูซี เมนซาห์ ฟริมปง ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ออกคำสั่งชั่วคราวเพื่อระงับการจับกุมผู้ต้องสงสัย โดยห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้เหตุผลทางด้านเชื้อชาติ ภาษา สถานที่ทำงาน หรือประเภทของงาน มากล่าวหาว่าผู้อพยพนั้นเป็นผู้นั้นกระทำผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ การที่ศาลฎีกาสูงสุดอนุมัติคำร้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ในการระงับคำพิพากษาดังกล่าว เมื่อวันจันทร์ที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ถือเป็นการสนับสนุนแนวทางการคัดกรองและตรวจสอบชาวต่างชาติอย่างเข้มงวดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถบุกค้นพื้นที่บริเวณรัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเนรเทศแรงงานที่เข้ามาทำงานในประเทศอย่างผิดกฎหมาย 

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เรียกร้องอยู่หลายต่อหลายครั้งให้ศาลฎีกาสูงสุด ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ที่ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เคยมีคำสั่งระงับไว้ ซึ่งในครั้งนี้ ศาลฎีกาได้ให้การสนับสนุนทรัมป์ในหลายประเด็น เช่น อนุญาตให้เนรเทศผู้อพยพไปยังประเทศอื่นนอกเหนือจากประเทศที่พวกเขาจากมา โดยไม่ต้องชี้แจงถึงความเสี่ยงหรือภัยอันตรายที่พวกเขาอาจต้องเผชิญ และสามารถเพิกถอนสถานะทางกฎหมายจากผู้อพยพหลายแสนคน ที่รัฐบาลเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม

เนรเทศแรงงานต่างชาติ นโยบายที่ย้อนแย้ง อาจทำให้ ‘สหรัฐ’ ต้อง เสี่ยงขาดแคลนแรงงาน

แผนการที่จะทำให้การผลิตส่วนมากมาจากสหรัฐหรือ  ‘Made in America’ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้วางรากฐานทางเศรษฐกิจด้วยการบีบบังคับให้บริษัทต่างชาตินำการผลิตเข้ามาในสหรัฐ ผ่านการขึ้นภาษีการนำเข้า  อย่างไรก็ตาม การบุกจับกุมผู้อพยพที่บริษัทแบตเตอรี่ฮุนได (Hyundai Motor Co.)  และแอลจี (LG Energy Solution Ltd) ในรัฐจอร์เจียเมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นความย้อนแย้งของนโยบายดังกล่าว 

อ่านเพิ่มเติม: ทรัมป์ลั่นหลังบุกฮุนได 'บ.ต่างชาติต้องฝึกฝนคนงานอเมริกัน'

นักวิเคราะห์แหล่งข่าวบลูมเบิร์กเผยว่า การย้ายฐานการผลิตกลับอเมริกาตามความตั้งใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจตกอยู่ในความเสี่ยง ผ่านการบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐ ที่มุ่งเป้าไปที่แรงงานที่เป็นรากฐานของนโยบาย

การจะทำให้โรงงานมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เริ่มดำเนินกิจการได้นั้น จำเป็นต้องใช้วิศวกร และแรงงานต่างชาติหลายร้อยหรือหลายพันคน แต่นโยบายดังกล่าวของทรัมป์ต้องทำให้บริษัทอย่าง Hyundai และ LG ต้องประสบปัญหา ผ่านการควบคุมแรงงานที่เข้มงวดขึ้น 

เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางสหรัฐ ได้ควบคุมตัวผู้ต้องขัง 475 คน ออกจากอาคาร โดยตามรายงานจากสื่อของบริษัท  LG Energy Solution และได้ตัดสินใจเลื่อนการผลิตออกไปจนถึงกลางปีหน้า

สำนักข่าวยอนฮับ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้ให้ทางเลือกแก่ผู้ที่ถูกอพยพที่ถูกจับกุมสองทาง หนึ่งคือยอมรับการเนรเทศ และห้ามกลับเข้าประเทศเป็นเวลาห้าปี หรือจะยอมถูกควบคุมตัว และขึ้นให้การในชั้นศาลต่อไป

ทรัมป์เขียนใน Truth Social เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมาว่า

“เรายินดีต้อนรับต้อนทุกการลงทุนทุกประเภท แต่แนะนำว่าควรจะนำบุคลากรที่มีความสามารถ เข้ามาอย่างถูกกฎหมายจะดีกว่า แล้วเราจะช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณสามารถใช้ความรู้ของคุณผลิตสินค้าระดับโลกได้อย่างถูกกฎหมายทันที” 

ความเห็นดังกล่าว บ่งชี้ถึงแนวทางของสหรัฐที่แม้จะเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และต้อนรับแรงงานที่มีทักษะ แต่ยังคงเน้นย้ำถึงข้อกำหนดที่บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายให้ถูกต้อง

การตัดสินใจของศาลฎีกาสหรัฐในครั้งนี้ ยังคงเป็นการตอกย้ำถึงการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวดของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ  

การดำเนินการจับกุมและเนรเทศแรงงานต่างชาติในครั้งนี้ สร้างเครื่องหมายคำถามตัวโตถึงแนวคิด 'Made in America'  ว่าจะประสบความสำเร็จได้จริงตามที่ทรัมป์ได้ตั้งเป้าหมายไว้ หรือจะต้องสะดุดลงจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เขาได้สร้างขึ้นเอง

อ้างอิง Reuters, Bloomberg