ส่วนแบ่งตลาด Tesla ในสหรัฐ ‘ร่วงต่ำสุด’ ในรอบเกือบ 8 ปี

ส่วนแบ่งตลาดสหรัฐของ ‘เทสลา’ ร่วงสู่ระดับ ‘ต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี’ สะท้อนแรงกดดันจากคู่แข่งที่รุกเปิดอีวีรุ่นใหม่พร้อมอัดโปรโมชั่นแรง ขณะที่เทสลายังไร้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่โดดเด่น รวมถึงต้องพึ่งพาการหั่นราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย กระทบทั้งกำไรและความเชื่อมั่นนักลงทุน
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า “เทสลา” (Tesla) บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของสหรัฐ กำลัง “สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในอเมริกา” สู่ระดับ “ต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี” เนื่องจากผู้บริโภคหันไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากคู่แข่งมากขึ้น ตามข้อมูลจากบริษัทวิจัย Cox Automotive ที่เปิดเผยต่อสำนักข่าวรอยเตอร์โดยเฉพาะ
การลดลงครั้งนี้ สะท้อนถึงภาวะกดดันของบริษัทรถที่ต้องหั่นราคาลง เพื่อกระตุ้นยอดขาย ท่ามกลางเวลาที่ยากลำบากของอุตสาหกรรม โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ยอดขายอีวีในสหรัฐ จะพุ่งขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกันยายน ก่อนที่จะร่วงลงเมื่อสิทธิประโยชน์ด้านภาษีของรัฐบาลกลางสิ้นสุดลงในปลายเดือน ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันทางการเงินต่อเทสลาและบริษัทรถยนต์รายอื่น ๆ
ที่ผ่านมา เทสลา เคยครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐ “มากกว่า 80%” แต่ในปัจจุบัน กลับเหลือ “เพียง 38%” ของยอดขายอีวีรวมในเดือนสิงหาคม ซึ่ง “เป็นครั้งแรก” ที่ลดต่ำกว่า 40% นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2017
ขณะที่บริษัทรถยนต์รายอื่นเร่งเปิดตัวรถ EV รุ่นใหม่ เทสลากลับหันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาแท็กซี่ไร้คนขับ และหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ พร้อมทั้งเลื่อนหรือยกเลิกแผนการผลิตรถ EV ราคาถูกออกไป
อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ ธุรกิจหลักด้านการผลิตรถยนต์ยังคงเป็น “แหล่งทำเงินสำคัญ” ของเทสลา รุ่นใหม่ล่าสุดคือรถกระบะ Cybertruck ที่เปิดตัวในปี 2023 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกับ Model 3 หรือ Model Y SUV ขนาดกลาง
สเตฟานี วัลเดซ สทรีตี ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์อุตสาหกรรมของ Cox Automotive ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า “ฉันรู้ว่าเทสลากำลังวางตัวเองให้เป็นบริษัทด้านหุ่นยนต์และ AI แต่เมื่อคุณเป็นบริษัทรถยนต์ หากไม่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ส่วนแบ่งตลาดก็จะเริ่มลดลง”
Cox Automotive พบว่า ส่วนแบ่งตลาดเทสลา ลดลงเหลือ 42% จาก 48.7% ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่มีนาคม 2021 อันเป็นช่วงที่ฟอร์ดเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Mustang Mach-E
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวทางการเมืองฝั่งขวาของ อีลอน มัสก์ และความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ส่งผลกระทบในทางลบต่อแบรนด์เช่นกัน
ในเดือนสิงหาคม การเติบโตของยอดขายเทสลาชะลอตัวเหลือเพียง 3.1% ขณะที่ตลาดรวมเติบโต 14% ตามข้อมูลเบื้องต้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เทสลาในฐานะผู้นำตลาดสามารถเร่งยอดขายได้อย่างรวดเร็ว และกำหนดราคาพรีเมียมให้กับรถยนต์ของตน จนกอบโกยกำไรได้มาก แต่เมื่อยอดขายเริ่มอ่อนแรงและมีคู่แข่งจำนวนมาก เทสลาจึงจำเป็นต้องปรับลดราคาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กำไรขั้นต้นถูกบีบและสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุน
อ้างอิง: reuters







