VinFast เร่งแผนขยายโรงงานในสหรัฐ คาดเปิดภายในปี 2571

VinFast ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากเวียดนาม วางแผนเปิดโรงงานประกอบรถยนต์แห่งใหม่ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา
KEY
POINTS
- VinFast ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากเวียดนาม วางแผนเปิดโรงงานประกอบรถยนต์แห่งใหม่ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา
- โรงงานดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2571
- ปัจจุบันบริษัทกำลังมองหานักลงทุนเพื่อเข้ามาร่วมทุนในโครงการนี้
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเวียดนาม VinFast Auto Ltd. วางแผนเปิดโรงงานประกอบรถยนต์แห่งใหม่ในมลรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ภายในปี 2571 ทั้งนี้ บริษัทยังคงมองหานักลงทุนที่จะเข้ามาร่วมทุนในโครงการดังกล่าว ตามที่นางเล ถี่ ธู ทุย (Le Thi Thu Thuy) ประธานบริษัท ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
ก้าวสำคัญของ VinFast ในการขยายตัวสู่ตลาดต่างประเทศเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งตรงกับช่วงที่บริษัทเปิดโรงงานแห่งแรกนอกประเทศเวียดนามในรัฐทมิฬนาฑูของอินเดีย โดยโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตเริ่มต้น 50,000 คันต่อปี
บริษัทยังมีแผนเปิดโรงงานประกอบอีกแห่งในจังหวัดชวาตะวันตกของอินโดนีเซียภายในเดือนต.ค.นี้ เพื่อรองรับการเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ บริษัทแม่ Vingroup JSC กำลังพิจารณาขยายระบบนิเวศทางธุรกิจทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการพัฒนามหานคร โรงเรียน และโรงพยาบาล ไปยังอินเดียด้วย
นางทุยกล่าวว่า VinFast มุ่งมั่นในการผลิตรถยนต์และสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอินเดีย ทั้งนี้ยังรวมถึงการเปิดตัวบริษัท Green & Smart Mobility JSC หรือ GSM ซึ่งเป็นบริษัทแท็กซี่ที่เป็นของนายฝ่าม เญิต เหวื่อง ผู้ก่อตั้ง Vingroup ในประเทศอินเดียด้วย
ธุรกิจอีวีขาดทุนหนัก
แม้จะมีแผนในการขยายกิจการ แต่สภาวะปัจจุบันของ VinFast อยู่ในจุดที่ไม่ดีมากนัก ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าบริษัทเตรียมขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับยูนิตการวิจัยและพัฒนาบางแห่งเพื่อระดมราว 1.5 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
เพื่อให้บริษัทดำเนินต่อไปได้ นายฝ่าม เญิต เหวื่อง ได้อัดฉีดเงินของตัวเองไปแล้วมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ให้กับธุรกิจอีวีของตัวเองและกล่าวว่าเขายินดีที่จะสนับสนุนจนกว่าเงินของเขาจะหมด
ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนการลงทุนเผยว่า เผยว่า VinFast มีผลขาดทุนสุทธิประมาณ 20.34 ล้านล้านดอง (770 ล้านดอลลาร์) ในไตรมาสที่สอง ซึ่งขาดทุนหนักกว่าไตรมาสแรกประมาณ 15% และขาดทุนหนักกว่าปีที่แล้ว 8.4%







