สหรัฐลุยคว่ำบาตรสแกมเมอร์ 'กัมพูชา-เมียนมา' ต้นตอปล้นเงินคนอเมริกัน

รัฐบาลสหรัฐประกาศ 'คว่ำบาตร' บริษัทและบุคคลเกือบ 20 รายใน 'กัมพูชา-เมียนมา' ที่อยู่เบื้องหลังศูนย์กลางโจรไซเบอร์แห่งอาเซียน เผยเป็นต้นตอปล้นเงินคนอเมริกันกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
เมื่อวันจันทร์ที่ 8 ก.ย. กระทรวงการคลังสหรัฐ ได้ประกาศ "คว่ำบาตรทางการเงินและการทูต" ต่อบุคคลและนิติบุคคลเกือบ 20 รายในประเทศ "เมียนมา" และ "กัมพูชา" เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งอาชญากรรมไซเบอร์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสร้างขึ้นบนฐานของเหยื่อการค้ามนุษย์
“อุตสาหกรรมหลอกลวงทางไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่เพียงแต่คุกคามความเป็นอยู่และความมั่นคงทางการเงินของชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนหลายพันคนต้องตกเป็นทาสยุคใหม่” จอห์น เค. เฮอร์ลีย์ ปลัดกระทรวงการคลังฝ่ายการก่อการร้ายและข่าวกรองทางการเงิน ระบุในแถลงการณ์พร้อมเสริมว่า ในปีที่แล้วมีชาวอเมริกันสูญเสียเงินมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ จากปฏิบัติการไซเบอร์สแกมที่มีต้นตอมาจากภูมิภาคนี้
ในจำนวนบริษัทและบุคคลที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตรในครั้งนี้อยู่ในเมือง "ชเวโก๊กโก่" ที่โด่งดังของเมียนมาจำนวน 9 ราย และอีก 10 รายอยู่ในประเทศกัมพูชา
สำหรับในประเทศเมียนมานั้น กระทรวงฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรต่อ
- นายติน วิน (Tin Win)
- นายซอ มิน มิน อู (Saw Min Min Oo)
- นายชิต ลินน์ เมียง โก (Chit Linn Myaing Co)
ซึ่งกระทำในนามของกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยงเคเอ็นเอ ที่ให้ความคุ้มครองปฏิบัติการหลอกลวงทางไซเบอร์ครั้งใหญ่นี้
นอกจากนี้ยังรวมถึงนายเช่อ จื้อเจียง (She Zhijiang) ผู้ก่อตั้ง "ย่านเมืองใหม่หย่าไถ้" (Yatai New City) ในเมืองชเวโก๊กโก่ และบริษัทอีกหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาก็ถูกคว่ำบาตรเช่นกัน
ส่วนใน "กัมพูชา" ทางสหรัฐได้คว่ำบาตรต่อ
- นายตง เล่อเฉิง (Dong Lecheng)
- นายซู อ้ายหมิน (Xu Aimin)
- นายเฉิน อัล เหลิน (Chen Al Len)
- และนายซู เหลียงเซิง (Su Liangsheng)
- บริษัทอีก 6 แห่งที่พวกเขาเกี่ยวข้อง
เนื่องจากมีบทบาทในการเปลี่ยนโรงแรม อาคารสำนักงาน และคาสิโนหลายแห่งให้กลายเป็นแหล่งอาชญากรรมไซเบอร์สแกม และยังมีแรงงานถูกบังคับให้หลอกการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล
ภายใต้กฏหมายแมกนิตสกี (Magnitsky Act) ซึ่งเป็นกฎหมายของสหรัฐเพื่อลงโทษบุคคลต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและการทุจริต จะห้ามมิให้บุคคลและบริษัทเหล่านี้เดินทางเข้าสหรัฐ และห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน
อัลจาซีราระบุว่า เมียนมาและกัมพูชากลายเป็น “ศูนย์กลางการหลอกลวงทางไซเบอร์” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปฏิบัติการหลอกลวงเหล่านี้ดำเนินการโดยเครือข่ายอาชญากรที่มักจะมีความเชื่อมโยงกับ “กลุ่มอาชญากรจีน” ซึ่งทำให้เหยื่อทั่วโลกต้องสูญเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี
ขณะที่บลูมเบิร์กระบุว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นปฏิบัติการล่าสุดในรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เพื่อจัดการกับสิ่งที่รัฐบาลเรียกว่าเป็น "การฉ้อโกงทางไซเบอร์ขนาดใหญ่ที่แพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ซึ่งข้อมูลของกระทรวงการคลังระบุว่า ผู้ที่กำลังหางานมักถูกล่อลวงไปและถูกใช้ความรุนแรงข่มขู่ให้ดำเนินการฉ้อโกงทางออนไลน์
“ผู้ดำเนินการแหล่งสแกมเมอร์เหล่านี้ต่างบังคับให้คนทำงานด้วยสัญญาหนี้ ความรุนแรง และขู่ว่าจะบังคับค้าประเวณี เพื่อบีบบังคับให้บุคคลเหล่านี้ไปหลอกลวงคนแปลกหน้าทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชันส่งข้อความหรือส่งข้อความ SMS โดยตรงไปยังโทรศัพท์ของเหยื่อ” กระทรวงการคลังระบุในแถลงการณ์
ปฏิบัติการเหล่านี้ซึ่งขยายตัวใหญ่ขึ้นท่ามกลางการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากมีการปราบปรามอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค โดยมีการจับกุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้องไปถึงหลายพันคน
อย่างไรก็ตาม บรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนได้ตำหนิ "รัฐบาลกัมพูชา" ที่ไม่มีการดำเนินการใดๆ มากกว่านี้ โดยเมื่อมิ.ย. ที่ผ่านมา องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวหาเจ้าหน้าที่ในกรุงพนมเปญว่า "จงใจเพิกเฉย" ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับแหล่งสแกมเมอร์เหล่านี้






