ราคา LNG ส่อดิ่งหนัก เหตุ ‘ซัพพลายล้นตลาด’ หนักสุดรอบ 6 ปี

ตลาด LNG ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนจากภาวะขาดแคลนเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นตลาดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 6 ปี สาเหตุหลักมาจากการขยายกำลังการผลิตครั้งมหาศาลของสหรัฐอเมริกาและกาตาร์ แม้ความต้องการใช้ LNG จากตลาดหลักอย่างจีนกลับชะลอตัวลง
KEY
POINTS
- ตลาด LNG ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนจากภาวะขาดแคลนเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นตลาดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 6 ปี
- สาเหตุหลักมาจากการขยายกำลังการผลิตครั้งมหาศาลของสหรัฐอเมริกาและกาตาร์
- ความต้องการใช้ LNG จากตลาดหลักอย่างจีนกลับชะลอตัวลง
- ปรากฏการณ์นี้จะส่งผลให้ราคา LNG ทั่วโลกดิ่งลงอย่างเห็นได้ชัด
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ตลาดก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ จากเดิมที่เคยอยู่ในภาวะขาดแคลนอย่างรุนแรงที่กินเวลา 4 ปี ตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนในปี 2022 กลับมาสู่ “ภาวะอุปทานล้นตลาด” ที่คาดว่าจะยาวนานหลายปี เริ่มตั้งแต่ปี 2026
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ว่า การผลิต LNG ปี 2026 จะเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019 ขณะที่ความต้องการจากตลาดหลักอย่างจีนกลับชะลอตัวลง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อตลาดพลังงานโลกและผู้บริโภคทั่วโลก
สาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือสหรัฐอเมริกาเริ่มขยายการผลิต LNG โดยโรงงาน Venture Global ใน Louisiana เริ่มผลิตเร็วกว่าแผน ส่งผลให้การผลิตครึ่งแรกปี 2025 เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน โครงการ Golden Pass ของ Exxon และ QatarEnergy คาดจะเริ่มส่งออกปลายปีนี้ หลังจากล่าช้าไป 12 เดือนเนื่องจากปัญหาแรงงานและการก่อสร้าง ขณะเดียวกัน Cheniere Energy ก็ขยายโรงงาน Corpus Christi เพิ่มกำลังการผลิต 10 ล้านตันต่อปี
ส่วนกาตาร์ก็กำลังเตรียมกลับมาในอุตสาหกรรมด้วยโครงการ North Field East ที่จะเริ่มส่งออกปลายปี 2026 ซึ่งถือเป็นการขยายครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศนับตั้งแต่ปี 1997 เมื่อรวมโครงการก่อสร้างใหม่ทั้งหมด 174 ล้านตันต่อปี จะทำให้อุปทานโลกเพิ่มเป็น 594 ล้านตันต่อปีภายใน 2030 หรือเพิ่มขึ้น 42% จากปีที่แล้ว
อุปทานเพิ่ม แต่อุปสงค์กลับลด
ในขณะที่อุปทานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความต้องการกลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าอันดับหนึ่งของโลก โดยปักกิ่งลดการนำเข้าลงในปี 2025 เนื่องจากการผลิตก๊าซในประเทศเพิ่มขึ้นและข้อตกลงท่อส่งก๊าซ Power of Siberia 2 กับรัสเซีย ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ประเมินว่าโครงการนี้จะแทนที่การนำเข้า LNG ของจีนได้ถึง10% ของอุปทานโลก
ในฝั่งของยุโรปแม้จะยังคงต้องการ LNG เพื่อทดแทนก๊าซรัสเซียจากท่อส่ง แต่อัตราการเติบโตไม่สูงพอที่จะดูดซับอุปทานส่วนเกินที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ประเทศผู้ส่งออกดั้งเดิมอย่างอียิปต์และอินโดนีเซียก็เริ่มมีปัญหาการผลิตลดลง ทำให้ต้องนำเข้าเพื่อใช้ในประเทศแทน
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือการลดลงของราคา LNG อย่างมีนัยสำคัญ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley คาดว่าราคาในยุโรปและเอเชียจะลดลงต่ำกว่า 10 ดอลลาร์ต่อล้าน BTU ในไตรมาสสี่ปี 2026 เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ย 14 ดอลลาร์ในฤดูหนาวที่แล้ว ในระยะยาวปี 2027 BNP Paribas คาดว่าราคาอาจลดลงต่ำสุดถึง 8 ดอลลาร์ต่อล้าน BTU
BloombergNEF คาดการณ์ว่าอุปทานจะเกินความต้องการอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2027-2030 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาอยู่ในระดับต่ำเป็นระยะเวลานาน การเปลี่ยนแปลงนี้จะกลับทำให้ตลาดพลังงานโลกเข้าสู่ยุคใหม่ที่ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์มากกว่าผู้ผลิต
หันกลับมามองประเทศไทย ?
สำหรับประเทศไทย มีการใช้ LNG ในสัดส่วนที่สูงที่ประมาณ 70-80% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ข้อมูลจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในเว็บไซต์ว่า “ประเทศไทยมีความสามารถในการผลิตก๊าซธรรมชาติใช้เอง 59% และนำเข้าจากต่างประเทศอีก 40% ประกอบด้วย ประเทศเมียนมา 13% และจาก LNG 28%”
ดังนั้นหากราคาเชื้อเพลิงดังกล่าวลดลงก็จะส่งผลในเชิงบวกต่อราคาพลังงานในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวอาวุโสของกรุงเทพธุรกิจ ระบุว่า ปัจจุบันทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แบกรับค่าไฟฟ้าแปรผัน (FT) แทนประชาชน ดังนั้นในอนาคตหากราคาพลังงานลดลงจริง รัฐบาลอาจมีสองทางเลือกคือนำส่วนต่างค่าไฟฟ้าที่ลดลงไปใช้คืนให้ กฟผ. หรือ เลือกลดค่าไฟให้ประชาชน ซึ่งก็เป็นความเป็นไปได้ทั้งสองทาง







