ทำไม ‘ตลาดค้าทอง’ ดูไบโต แต่คนในประเทศอาจไม่ได้ประโยชน์ เท่า ‘เศรษฐี’ อินเดีย ?

ทำไม ‘ตลาดค้าทอง’ ดูไบโต แต่คนในประเทศอาจไม่ได้ประโยชน์ เท่า ‘เศรษฐี’ อินเดีย ?

ตลาดค้าทองในดูไบถูกผูกขาดโดยธุรกิจของมหาเศรษฐีชาวอินเดีย ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ 3 แห่ง โดยความสำเร็จของธุรกิจเหล่านี้มาจากฐานลูกค้าชาวอินเดียขนาดใหญ่ในดูไบ ซึ่งมีความต้องการทองคำต่อหัวสูงที่สุดในโลก

KEY

POINTS

  • ตลาดค้าทองในดูไบถูกผูกขาดโดยธุรกิจของมหาเศรษฐีชาวอินเดีย ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ 3 แห่ง
  • ความสำเร็จของธุรกิจเหล่านี้มาจากฐานลูกค้าชาวอินเดียขนาดใหญ่ในดูไบ ซึ่งมีความต้องการทองคำต่อหัวสูงที่สุดในโลก
  • นโยบายลดภาษีนำเข้าทองคำของอินเดีย ทำให้ความได้เปรียบด้านราคาของทองในดูไบลดลง และส่งผลกระทบต่อยอดขาย
  • ผู้ประกอบการในดูไบจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมการออกแบบ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอื่นนอกเหนือจากชาวอินเดีย

หากพูดถึง “ดูไบ” สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกันไล่ไปตั้งแต่ ช็อกโกแลตดูไบ ประเทศแห่งถั่ว ประเทศแห่งมหาเศรษฐี (หรือบางคนอาจนึกถึงตระกูลทางการเมือง...) แต่หนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ "ตลาดค้าทองคำ" ที่เติบโตอย่างมาก

แต่บทวิเคราะห์ “Billionaires Who Amassed Gold Fortunes in Dubai Face Slowdown” ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงหนึ่งที่น่าสนใจว่า แม้ตลาดค้าทองในดูไบจะเติบโตอย่างมาก แต่กลับถูกผูกขาดจากตระกูลมหาเศรษฐีจากอินเดียเนื่องจากข้อได้เปรียบเชิงวัฒนธรรมและรากเหง้าทางประวัติศาสตร์

สามแบรนด์ยักษ์อินเดียครองตรลาด

ปัจจุบันมีสามแบรนด์เครื่องประดับยักษ์ใหญ่ในดูไบล้วนเป็นธุรกิจสัญชาติอินเดียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Malabar Gold & Diamonds, Joyalukkas India Ltd. และ Kalyan Jewellers India Ltd. ซึ่งหากอ้างอิงข้อมูลตาม Bloomberg Billionaires Index จะพบว่า ผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสามแห่งมีความมั่งคั่งสุทธิสูงถึง 9,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ​ 3.13 แสนล้านบาท) โดย Malabar เพียงเจ้าเดียวมีสาขาถึง 67 แห่งในดูไบ

ทำไม ‘ตลาดค้าทอง’ ดูไบโต แต่คนในประเทศอาจไม่ได้ประโยชน์ เท่า ‘เศรษฐี’ อินเดีย ? ความสำเร็จของธุรกิจเหล่านี้หล่อเลี้ยงด้วยฐานลูกค้าอินเดียขนาดใหญ่ โดยดูไบมีประชากรอินเดียสูงถึง 7.2 ล้านคนในปี 2023 ซึ่งมากที่สุดในบรรดากลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ในจำนวนนี้มีผู้อยู่อาศัยถาวรถึง 3.5 ล้านคน โดยความนิยมในทองคำของกลุ่มประชากรนี้สะท้อนจากตัวเลขอุปสงค์ทองคำต่อหัวที่สูงสุดโลกที่ 4.4 กรัมต่อปี

อีกหนึ่งปัจจัยที่ขับเคลื่อนความต้องการของทองคำคือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค โดย รเมช กัลยาณารามัน ผู้บริหารของ Kalyan Jewellers ให้สัมภาษณ์ว่า "ปกติลูกค้าจะซื้อเครื่องประดับประมาณปีละครั้ง แต่ตอนนี้ลูกค้าหลายคนเริ่มซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 3-4 ครั้งต่อปี" สะท้อนการเพิ่มขึ้นของโอกาสในการใช้งานและกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง

‘อินเดีย’ ลดภาษีดึงดีมานด์ทองเข้าประเทศ

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหม่เริ่มปรากฏขึ้น โดยในปีที่ผ่านมาอินเดียลดภาษีนำเข้าทองคำจนกระทั่งส่งผลให้ความได้เปรียบด้านราคาของการซื้อทองคำในต่างประเทศลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายในตลาดค้าทองของดูไบที่อุปสงค์เครื่องประดับลดลง 16% ในไตรมาส 2

ด้าน อนินทยา บานาร์จี จาก Kotak Securities มองว่า นโยบายนี้ของอินเดียอาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การค้าทองของดูไบในระยะยาวซึ่งหมายถึงการปรับตัวระยะยาวสำหรับผู้ประกอบการในภูมิภาค

ความเคลื่อนไหวในตลาดเริ่มปรากฏผ่านการเข้าซื้อกิจการ เช่น Tata Group ของอินเดีย ที่เข้าซื้อหุ้นใหญ่ใน Damas International บริษัทค้าเครื่องประดับจากดูไบ แสดงให้เห็นถึงการควบรวมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากแนวโน้มของอุตสาหกรรมดังกล่าวที่สดใส

ท้ายที่สุด แอนดรู เนเลอร์ จาก World Gold Council เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับตัวว่า "ร้านเครื่องประดับควรพัฒนานวัตกรรมด้านการออกแบบต่อไป เพื่อให้ดึงดูดกลุ่มประชากรที่หลากหลาย" ซึ่งชี้ให้เห็นทิศทางการขยายฐานลูกค้าเป็นกลยุทธ์สำคัญ