มอง สองขั้วอำนาจของประเทศมหาอำนาจ จากมุมประวัติศาสตร์ | บ้านเขาเมืองเรา

มอง สองขั้วอำนาจของประเทศมหาอำนาจ จากมุมประวัติศาสตร์ | บ้านเขาเมืองเรา

การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีสีของจีน ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียและนายกรัฐมนตรีโมดีของอินเดียในนครเซี่ยงไฮ้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า มหาอำนาจได้แบ่งออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจนแล้ว 

การแบ่งขั้วดังกล่าวเกิดจากปัจจัยใหม่ ได้แก่ ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐใช้อำนาจบาตรใหญ่สั่งทำลายระบบความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจที่สังคมโลกใช้เวลาหลายทศวรรษพัฒนาขึ้น 

ระบบนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของหลายประเทศในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  การประกาศเพิ่มภาษีขาเข้านับสิบเท่าของนายทรัมป์ถูกใช้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจและการเมือง 

ประเทศที่ยอมทำตามความประสงค์ของสหรัฐได้รับการพิจารณาลดภาษีที่ประกาศออกไป  ประเทศที่ไม่ยอมทำตามถูกลงโทษด้วยระดับภาษีที่สูงลิ่ว

 

จีน เป็นประเทศหนึ่งซึ่งได้ประโยชน์สูงมาก จากระบบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ชาวโลกใช้มาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะจากการส่งสินค้ามูลค่ามหาศาลไปขายในสหรัฐ 

ตลาดสหรัฐเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ทำให้จีนพัฒนาได้อย่างรวดเร็วหลังเลิกใช้ระบบคอมมิวนิสต์  จีนจึงกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งหลังจากประสบปัญหาและถดถอยมาหลายร้อยปีโดยในขณะนี้มีฐานทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับของสหรัฐแล้ว

แม้ชาวจีนแต่ละคนจะยังมีรายได้น้อยกว่าชาวอเมริกันมาก เนื่องจากจีนมีประชากรมากกว่า แต่ฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่เอื้อให้รัฐบาลจีนมีรายได้สำหรับใช้ขยายกองทัพพร้อมกับสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์นำสมัยได้อย่างรวดเร็ว 

ผู้ติดตามการพัฒนาอาวุธของจีนเพิ่งรายงานว่า ล่าสุดจีนได้ลงทุนมหาศาลพัฒนากองทัพเรือเพื่อให้สามารถท้าทายกองทัพเรือสหรัฐได้ทั้งในย่านน่านน้ำนอกเมืองจีนและในมหาสมุทรห่างไกลฐานเศรษฐกิจและกองทัพขนาดใหญ่

คงเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลจีนมีความเชื่อมั่นว่าตนจะสามารถพัฒนาต่อไปได้โดยไม่ต้องอาศัยสหรัฐ  จีนจึงไม่ทำตามความประสงค์ของนายทรัมป์ซึ่งคงรู้สึกอับอายขายหน้าชาวโลก 

เหตุการณ์นี้จะมีส่วนหรือไม่ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ที่ทำให้นายทรัมป์ประกาศย้ายตำแหน่งเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของสหรัฐ ตามด้วยการส่งระบบอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางไปติดตั้งในญี่ปุ่น 

ระบบนี้ยิงได้ถึงจีนและภาคตะวันออกของรัสเซียและเคยถูกห้ามตามสนธิสัญญาว่าด้วยอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐซึ่งนายทรัมป์ยกเลิกเมื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก

รัสเซียอยู่ขั้วตรงข้ามกับสหรัฐมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตซึ่งใช้ระบบคอมมิวนิสต์  การบุกเข้าไปในยูเครนของรัสเซีย เป็นปัจจัยที่ทำให้สหรัฐไม่พอใจมาก เนื่องจากยูเครนกำลังจะย้ายขั้วไปอยู่ฝ่ายตน 

ตอนนี้นายทรัมป์เสนอตัวเป็นคนกลางหาทางให้สองฝ่ายยุติสงครามโดยหวังว่าตนจะมีผลพลอยได้ นั่นคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่รัสเซียยังไม่มีทีท่าจะทำตามความประสงค์ของเขา 

อาจเป็นความบังเอิญที่มีรายงานว่าสหรัฐจะนำระบบอาวุธที่เพิ่งนำไปติดตั้งในญี่ปุ่นไปติดตั้งในยุโรปด้วย

อินเดียวางตัวเป็นกลางระหว่างสองขั้วมานานแม้จะต่อต้านจีนมากเนื่องจากปัญหาชายแดนของสองประเทศก็ตาม 

การที่นายทรัมป์บอกอินเดียให้หยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย หากประสงค์จะได้รับลดหย่อนภาษีขาเข้าเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้อินเดียเลือกขั้วรัสเซียและจีน  

ภาวะโลก 2 ขั้วจะวิวัฒน์ไปทางไหนยากแก่การคาดเดา  หากมองจากมุมของประวัติศาสตร์ว่าด้วยการรุ่งและการร่วงโรยของมหาอำนาจตามหนังสือชื่อ The Rise and Fall of the Great Powers ของ พอล เคนเนดี (มีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา)

สองขั้วจะทำสงครามกันและสหรัฐจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้  แต่ประวัติศาสตร์มีข้อยกเว้น กล่าวคือ สหราชอาณาจักรไม่พ่ายแพ้สงครามที่ทำกับผู้ท้าทาย นำโดยเยอรมนีและหยิบยื่นความเป็นใหญ่ให้แก่สหรัฐ ซึ่งสืบทอดความเป็นมหาอำนาจทางขั้วตลาดเสรีมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ

มองในแง่ดี โลกจะไม่มีสงครามระหว่าง 2 ขั้ว ทั้งนี้เพราะนายทรัมป์จะกุมอำนาจต่อไปอีก 3 ปีเท่านั้น  หลังจากเขาหมดอำนาจไป ประธานาธิบดีคนใหม่คงไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ในแนวเดียวกับเขาเพราะตระหนักดีว่า ถ้าใช้จนทำให้เกิดสงคราม สหรัฐจะถูกเผาเป็นจุณไปพร้อมกับคู่ต่อสู้.