อุตสาหกรรม ‘อะลูมิเนียมจีน’ ปรับตัว หนีตายสงครามราคา

อุตสาหกรรม ‘อะลูมิเนียมจีน’ ปรับตัว หนีตายสงครามราคา

อุตสาหกรรม "อะลูมิเนียมจีน" ป่วน หันไปผลิตสินค้าเฉพาะทางเพิ่มมูลค่า เหตุแข่งขันตัดราคา อสังหาฯ ถดถอย นักวิเคราะห์ชี้นโยบายรัฐบาลไม่ส่งผลดีเท่าที่ควร

วิกฤตทางเศรษฐกิจที่รุมเร้า ส่งผลให้ธุรกิจอะลูมิเนียมของจีนกำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ จากเดิมที่เป็นอุตสาหกรรมเบาที่เฟื่องฟู วันนี้กลับต้องดิ้นรนจากปัญหา “อุปทานล้นตลาด” และ “สงครามราคา” ที่ไร้ทางออก ขณะที่นโยบายของรัฐบาลที่ควรจะเป็นแสงสว่างนำทาง กลับให้ความช่วยเหลือได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้อย่างแท้จริง ทำให้ผู้ประกอบการต้องหาทางรอดด้วยตัวเองท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงและท้าทายกว่าที่เคย

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้นำเสนอข้อคิดเห็นของสมาคมอุตสาหกรรมโลหะนอกกลุ่มเหล็กแห่งประเทศจีน (CNMIA) ที่ได้เคยกล่าวไว้ในเดือนก.ค.ว่า ผู้ผลิตคนกลางในธุรกิจอลูมิเนียมกำลัง “เผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนหลายชั้น จากความต้องการซื้อ (อุปสงค์) ภายในประเทศที่อ่อนแอ ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าต่างประเทศ และสงครามราคาที่ทวีความรุนแรงขึ้นในภาคอุตสาหกรรม”

หลิว เสี่ยวเล่ย นักวิเคราะห์ของตลาดโลหะเซี่ยงไฮ้ (SMM) กล่าวเสริมว่า “จริงอยู่ที่ความต้องการอะลูมิเนียมโดยรวมจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แต่ปัญหาหลักที่ส่งผลต่อธุรกิจอลูมิเนียมคือปัญหาการขยายตัวทางการผลิตที่รวดเร็ว ในขณะที่จำนวนผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันก็มีปริมาณมาก แม้บรรดาบริษัทอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมจะมีความพยายามปรับตัวไปสู่ภาคพลังงานทดแทน แต่ก็ไม่อาจหนีปัญหาเรื่องกำลังการผลิตที่ล้นตลาดได้พ้น”

ผลกระทบจากความปั่นป่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ และซัพพลายส่วนเกินทำให้บริษัทต่างๆ ต้องต่อสู้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าของตัวเองมากขึ้น โดยผู้บริหารโรงงานอะลูมิเนียมในฮ่องกง อย่าง เหลียง จู ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า

“มีทางเดียวที่ธุรกิจอลูมิเนียมจะหลุดพ้นจากวังวนการแข่งขันที่รุนแรงของจีน นั่นคือการเลิกผลิตสินค้าราคาถูก อย่างกรอบหน้าต่างและมือจับประตู และหันไปผลิตวัสดุเพื่อการใช้งานเฉพาะทาง เช่น การผลิตชิ้นส่วนไอแพด และส่วนประกอบของเครื่องบินแทน”

ทั้งนี้ มณฑลกวางตุ้งถือเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเบามาอย่างยาวนาน โดยในปัจจุบัน หลายบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันกับเหลียง กำลังต่อสู้ฟาดฟันเพื่อความอยู่รอดในยุคที่ “ผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมหั่นราคาแข่งกันจนท้ายที่สุดไม่มีผู้ชนะอย่างแท้จริง” หรือ Involution หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการแข่งขันในอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง และบ่อนทำลายตัวผู้เข้าเเข่งขันเอง (self-harming intrustrial race)

การล่มสลายของภาคอสังหาส่งผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจอลูมิเนียม

 

ธุรกิจอลูมิเนียมมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมาเป็นเวลานาน โดยมีสัดส่วนมากถึงหนึ่งในสามของอุปสงค์ทั้งหมดในธุรกิจอลูมิเนียม ด้วยเหตุนี้การล่มสลายภาคการก่อสร้างนับตั้งแต่เริ่มการระบาดใหญ่จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจอลูมิเนียมอย่างรุนแรง

อุตสาหกรรม ‘อะลูมิเนียมจีน’ ปรับตัว หนีตายสงครามราคา ภาวะถดถอยของภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนได้ทิ้งให้ผู้ผลิตอลูมิเนียมขนาดเล็กถึงขนาดกลางต้องเผชิญกับปัญหากำลังการผลิตที่ล้นเกินจากความต้องการอลูมิเนียมที่ลดลง นอกจากนี้การลดอัตราการดำเนินงานยังส่งผลให้อัตราส่วนกำไรลดลงตามไปด้วย

หากไปดูที่ตัวเลขอัตราการดำเนินงาน (Operating Rate) ของบริษัทแปรรูปอะลูมิเนียม จะเห็นว่ายังอยู่ต่ำกว่าอัตราที่ควรจะเป็นอย่างเห็นได้ชัด โดยอัตราของบริษัทที่มีผลประกอบการดีที่สุดอยู่ที่เพียง 60-70% และบริษัทที่ผลการดำเนินการแย่กว่าอยู่ที่เพียง 40-50% ขณะที่ระดับที่เหมาะอยู่สูงถึง 80%

นโยบายแก้ไขปัญหาอาจไม่ได้ให้การช่วยเหลือธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาเท่าที่ควร

ย้อนกลับไปเมื่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิงต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืดเมื่อปี 2015 ตอนนั้นประธานาธิบดีจีนไม่เพียงแต่จะสามารถปราบปรามปัญหาอุปทานล้นตลาดของจีนได้เท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอสังหา เป็นมูลค่าเกือบ 9 แสนล้านดอลลาร์

แม้สถานการณ์ในปัจจุบันจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่นโยบาย “ต่อต้านการแข่งขันที่ไม่มีผู้ชนะ” (Anti-involution) ของจีนในครั้งนี้ กลับแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น โดยความพยายามของรัฐบาลจีนในการควบคุมกำลังการผลิตส่วนเกิน แม้จะช่วยควบคุมภาวะสินค้าล้นตลาดในอุตสาหกรรมโลหะและพลังงานแสงอาทิตย์ให้ดีขึ้นได้ แต่กลับขาดแรงส่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้า และยังอาจส่งผลเสียมากกว่าจะช่วยแก้ปัญหาเงินฝืด

คริสโตเฟอร์ เบดดอร์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจีนของเกฟคาล ดราโกโนมิคส์ (Gavekal Dragonomics) กล่าวว่า “การจะทำให้เกิดแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจขึ้นอีกครั้ง แบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2015 คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับจีน เพราะปัญหาหลักของวิกฤตครั้งนี้คือแรงผลักดันจากด้านเศรษฐกิจมหภาค เช่น อุปสงค์ภายในครัวเรือนที่อ่อนแอ ซึ่งการแทรกแซงของรัฐบาลเพื่อจำกัดการแข่งขันในบางอุตสาหกรรม อาจจะไม่ได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ตรงจุด”

หลังจากวิกฤตเงินฝืดครั้งล่าสุดของจีนในปี 2023 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาในตอนนั้นก็ยังไม่สามารถแก้ไขหนี้สินของประเทศได้ โดยหนี้สินโดยรวมพุ่งสูงขึ้นจากราว ๆ  200% มาเป็น 300% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และด้วยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนในปัจจุบันที่ 1.4% นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว อาจทำให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) เหลือช่องในการปรับลดอีกไม่มากนัก ราคาสินค้าในหลายภาคปรับตัวลดลง ทำให้การแก้ไขปัญหาในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสำหรับรัฐบาล

ในมณฑลกวางตุ้ง ผู้จัดการและคนงานในโรงงานอลูมิเนียมกำลังเผชิญกับปัญหาการแข่งขันด้านราคาที่ยาวนาน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้จะแตกต่างจากการปฏิรูปด้านอุปทานครั้งล่าสุดของประธานาธิปดี สี จิ้นผิง ในปี 2015 การจะหวังให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หรือการฟื้นตัวของภาคการก่อสร้างเพื่อฟื้นฟูอัตราการเติบโตให้เหมือนในอดีตดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ในท้ายที่สุดอาจไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อย่างที่ผู้ประกอบการหลายคนคาดหวัง

อ้างอิง: Bloomberg