วิเคราะห์ 'จีน' ทุ่มซื้อทองคำ ตั้งเป้าตุนเข้าคลังสำรอง 5,000 ตัน?

เบื้องหลัง 'จีน' ทุ่มซื้อทองคำต่อเนื่อง แม้ราคาทำนิวไฮไม่หยุด จับตาเป้าหมายซื้อทองคำคลังสำรองแตะ 5,000 ตัน หวังกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ซื้อทองคำจำนวนมากตั้งแต่ปี 2566 ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐบาลจีนจะเพิ่มปริมาณทองคำสำรองได้มากแค่ไหน ในขณะที่จีนพยายามลดการพึ่งพา “ดอลลาร์”
จีนตั้งเป้า ‘ทองคำสำรอง’ 5,000 ตัน
หากติดตามการซื้อทองคำสำรองของจีน ในช่วงปี 2566 ถึงปัจจุบัน จะพบว่าการเข้าซื้อสอดคล้องกับแนวโน้มขาขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,508.5 ดอลลาร์วาน
นี้(2 ส.ค.)
ในปีนี้ PBOC ได้ซื้อทองคำไปแล้ว 21 ตัน หลังจากที่ซื้อ 44 ตันเมื่อปีที่แล้ว และ 225 ตันในปี 2566 ซึ่งทำให้ ธนาคารกลางจีน เป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น ทำให้ในปัจจุบันจีนถือทองคำสำรองอยู่ที่ 2,300.4 ตัน
รอยเตอร์ได้วิเคราะห์การซื้อทองคำสำรองของจีนในอนาคตผ่านการประมาณการของนักวิเคราะห์
ในปี 2552 โฮ่ว ฮุ่ยหมิน ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสมาคมทองคำแห่งประเทศจีน ได้เสนอเป้าหมายปริมาณทองคำสำรองของประเทศไว้ที่ 5,000 ตัน โดยให้เหตุผลถึงสถานะของจีนในเวทีระหว่างประเทศที่สูงขึ้น และวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกในปี 2551
เดวิด วิลสัน นักวิเคราะห์จาก BNP Paribas แสดงความเห็นว่า หากในปี 2552 จีนตั้งเป้าหมายไว้ที่ 5,000 ตัน เป็นไปได้ว่าตอนนี้ตัวเลขดังกล่าวอาจจะสูงขึ้นกว่าเดิมมาก เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ตอนนั้น
"หลังจากนี้ เราจะยังคงเห็นความต้องการทองคำจาก PBOC ต่อไป หากจีนยังคงดำเนินการกระจายความเสี่ยงและลดการใช้เงินดอลลาร์ในเงินสำรองของตน"
อย่างไรก็ดี หากปริมาณทองคำสำรองของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ตันหรือมากกว่านั้น จะทำให้ PBOC กลายเป็นผู้ถือครองทองคำสำรองอย่างเป็นทางการรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐ ซึ่งถือครองทองคำอยู่ 8,133.5 ตัน และมากกว่าฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี
ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายของจีนได้เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์แบบไม่เปิดเผยชื่อ มองว่า ปริมาณทองคำสำรองของจีนในปัจจุบันยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ โดยได้เปรียบเทียบกับสหรัฐและให้ความเห็นว่า ทองคำสำรองของจีนควรมีอย่างน้อย 5,000 ตัน เพื่อให้สะท้อนสถานะทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
เมื่อพิจารณาจากขนาดเศรษฐกิจ หรือ GDP ของจีนซึ่งคิดเป็น 64% ของ GDP ของสหรัฐ หากใช้สัดส่วนนี้กับปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐที่ 8,133.5 ตัน ปริมาณทองคำสำรองของจีนควรจะอยู่ที่ประมาณ 5,205 ตัน ซึ่งมากกว่าทองคำสำรองของจีนที่มีอยู่ถึง 2 เท่า จากข้อมูลอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา PBOC มีทองคำสำรองอยู่ที่ 2,300.4 ตัน มูลค่า 244,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่นักวิเคราะห์ชาวตะวันตกกล่าวว่า หน่วยงานของรัฐและสถาบันอื่นๆ ในจีนน่าจะมีการสะสมทองคำเพิ่มเติมในคลังของตนเอง
ผู้เชี่ยวชาญอย่าง โรบิน บาร์ นักวิเคราะห์อิสระ มองว่า หากเศรษฐกิจจีนเติบโตจนใหญ่ที่สุดในโลกได้ในอนาคต ปริมาณทองคำสำรองของจีนก็อาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 8,000 ตัน
ตอนนี้ทองคำสำรองของจีนคิดเป็นแค่ 7% ของทุนสำรองทั้งหมด ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 22% เหตุผลหลักคือจีนมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมหาศาลถึง 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้การเพิ่มสัดส่วนทองคำให้สูงขึ้นทำได้ยาก
จีนมีความได้เปรียบเพราะเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยผลิตได้ถึง 8% ของทองคำทั้งหมดในปี 2567 นอกจากนี้ยังมีข้อสันนิษฐานว่าจีนอาจมีทองคำในครอบครองอีกมากที่ยังไม่ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการ
โรบิน บาร์ กล่าวว่า ดูเหมือนจีนจะมีความต้องการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้รีบไล่ซื้อตามราคาที่สูงขึ้น และเขายังบอกอีกว่า "ทองคำสำรองของจีนเป็นเรื่องลึกลับที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง"
ตลาดเกิดใหม่ ถือทองคำ ‘ลดความเสี่ยง’
ธนาคารกลางทั่วโลก ถือครองทองคำเป็นสินทรัพย์สำรองหลัก เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจการเมืองได้ และจะซื้อน้อยลงเมื่อราคาสูงขึ้น
แต่ทว่าปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไป รายงานจาก UN ระบุว่า "ความไม่แน่นอนได้กลายเป็นประเด็นในเชิงระบบ" แล้ว ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงและความผันผวนไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประเทศกำลังพัฒนา
ทั้งความกังวลต่อนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายความมั่นคง ภาษีและสงครามการค้ากับจีน รวมไปถึงคำถามต่ออิสรภาพของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ได้กลายเป็น 2 ปัจจัยหลักที่เป็นความเสี่ยงให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนและไม่แน่นอน
นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของราคาทองคำสะท้อนถึงแนวโน้มที่ประเทศกำลังพัฒนาพยายามกระจายความเสี่ยงจาก “ดอลลาร์”
หลังจากที่กลุ่มประเทศตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรด้วยการอายัดเงินสำรองของของ “รัสเซีย”มูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของเงินสำรองทั้งหมดของรัสเซียในปี 2565 ทำให้รัซเซียสามารถเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินหยวนและทองคำที่จัดเก็บไว้ในประเทศเท่านั้น
ในปีเดียวกัน แบงก์ชาติจีนและโปแลนด์ เป็นธนาคารกลางที่ซื้อทองคำมากที่สุดในกลุ่มประเทศที่รายงานการซื้อ ทำให้ปัจจุบันโปแลนด์ได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว
ในปี 2567 ธนาคารแห่งชาติโปแลนด์ ถือครองทองคำสำรอง 515 ตันเพื่อเสริมสร้างเงินสำรองบรรลุเป้าหมายที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ที่ 20% ของเงินสำรองทั้งหมดในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีความเสี่ยงจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่อาจใกล้เข้ามาถึงพรมแดนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
อ้างอิง Reuters







