ถอด 'บทเรียน' ประท้วงเดือดอินโดฯ ความเหลื่อมล้ำสะสม คือเชื้อไฟ

‘อินโดนีเซีย’ เจอแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อความไม่พอใจค่าครองชีพและสิทธิพิเศษของนักการเมืองได้ปะทุเป็นการประท้วงทั่วประเทศ ขณะที่การตัดงบมหาศาลของปธน.ปราโบโว ยิ่งผลักภาระสู่ท้องถิ่น จนความโกรธสะสมถูกปลดปล่อยออกมา
“อินโดนีเซีย” กำลังเผชิญการประท้วง “ครั้งใหญ่ที่สุด” ในรอบสิบเดือนนับตั้งแต่ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโตเข้ารับตำแหน่ง เมื่อไฟประท้วงได้ลุกลามไปทั่วประเทศจากประเด็น “สิทธิพิเศษของชนชั้นนำ” ที่ผิดจังหวะและผิดเวลา การเพิ่มเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการให้สมาชิกรัฐสภา ในขณะที่ประชาชนกำลังทุกข์ยากกับค่าครองชีพที่พุ่งสูง กลายเป็น “ก้าวพลาดร้ายแรง” ของชนชั้นนำการเมืองที่สะท้อนถึง การไม่เข้าใจความจริงของชีวิตคนส่วนใหญ่
สิทธิพิเศษนักการเมือง จุดไฟประท้วง
ต้นเหตุความไม่พอใจเริ่มจากการที่รัฐบาลประกาศ “เพิ่มเบี้ยเลี้ยงและค่าตอบแทน” ให้สมาชิกรัฐสภา โดยมีรายงานว่า นักการเมืองบางคนได้รับเงินเดือนและสวัสดิการสูงถึง 100 ล้านรูเปีย หรือราว 2 แสนบาทต่อเดือน ซึ่งมากกว่ารายได้เฉลี่ยของประชาชนทั่วไปถึง 30 เท่า
ขณะที่ประชาชนกำลังเผชิญภาระค่าครองชีพสูงขึ้น และต้องรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจ การตัดสินใจเพิ่มเบี้ยเช่นนี้ จึงสร้างความโกรธแค้นอย่างกว้างขวาง ผู้ประท้วงมองว่า นี่สะท้อนถึง “ความเหลื่อมล้ำ” อย่างยิ่ง
ฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง เมื่อระหว่างการชุมนุม ตำรวจนำรถหุ้มเกราะเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดคิด รถตำรวจคันหนึ่งพุ่งชน และทับร่าง “อัฟฟาน กูรเนียวัน” ไรเดอร์ส่งอาหารวัยเพียง 21 ปี จนเสียชีวิต ภาพเหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ และแพร่สะพัดออกไป กลายเป็นประกายไฟที่โหมกระพือความโกรธแค้นของประชาชนให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ค่าครองชีพบีบคั้น ความเหลื่อมล้ำกัดกิน
อันที่จริง ต้นตอการประท้วงใหญ่ในอินโดนีเซียไม่ได้เกิดจากการเพิ่มเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความไม่พอใจที่สั่งสมมานาน โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว ที่ต้องเผชิญสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ลง และเห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่จุดประกายให้ประท้วงครั้งใหญ่ในสัปดาห์นี้โดยตรง คือ “รัฐบาลเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้สมาชิกรัฐสภา”
รัฐบาลอ้างเหตุผลเพิ่มสวัสดิการครั้งนี้ว่า มาจากการยุติการใช้อาคารพักอาศัยซึ่งเคยเป็นที่พักฟรีสำหรับสมาชิกรัฐสภา แต่ถ้าดูเบี้ยเลี้ยงที่ให้ “เดือนละ 50 ล้านรูเปีย” นั้น กลับดูเหมือนมากเกินไป แม้แต่การเช่าบ้านหรือคอนโดหรูในย่านแพงที่สุดของกรุงจาการ์ตา ก็ยังไม่ต้องใช้เงินสูงขนาดนี้
สำหรับคนทำงานทั่วไป เงินจำนวนนี้ถือว่า “สูงเกินจินตนาการ” ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกรัฐสภาก็มีเงินเดือนสูงอยู่แล้ว แถมยังได้สวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย
เมื่อเทียบกัน ผู้จัดการในจาการ์ตาโดยเฉลี่ยมีรายได้ไม่ถึง 15 ล้านรูเปียต่อเดือน ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในจาการ์ตาอยู่ที่เพียง “5.4 ล้านรูเปีย” และในบางพื้นที่ของประเทศ ต่ำสุดแค่ 2.1 ล้านรูเปีย เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น กว่า 60% ของแรงงานทั้งหมด อยู่ในภาคนอกระบบ ซึ่งเป็นงานไม่มั่นคง และมักได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำเสียด้วยซ้ำ
คนหนุ่มสาวกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง และมีแนวโน้มจะแย่ลงไปอีกภายใต้มาตรการเก็บภาษีของรัฐบาลทรัมป์ ที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอินโดนีเซียในอัตรา 19%
ขณะที่ “อัตราว่างงาน” อย่างเป็นทางการอยู่ที่ 5% แต่สำหรับคนหนุ่มสาวกลับสูงถึง 16% นอกจากนี้ ตัวเลขทางการดังกล่าวยังถูกมองกันอย่างกว้างขวางว่า ประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง
“ในช่วงที่รัฐบาลดำเนินมาตรการรัดเข็มขัด และประชาชนกำลังเผชิญความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ความคิดที่ว่าชนชั้นการเมืองของอินโดนีเซีย ซึ่งร่ำรวยอยู่แล้ว กลับจะได้รับการขึ้นเงินเดือน ยิ่งทำให้ผู้คนโกรธแค้นอย่างรุนแรง พวกเขาจึงออกมาบนท้องถนน เพื่อแสดงความโกรธนั้น” ดร.อีฟ วอร์เบอร์ตัน ผู้อำนวยการสถาบันอินโดนีเซีย มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียกล่าว
“ชนชั้นนำดูเหมือนจะใช้ชีวิตในความหรูหรา ดังจะเห็นได้จากสิทธิประโยชน์อันเกินควรที่สมาชิกรัฐสภาได้รับ ซึ่งบั่นทอนความรู้สึกด้านความยุติธรรมของประชาชน” เวดี ฮาดิซ ศาสตราจารย์ด้านเอเชียศึกษา จากสถาบันเอเชีย มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นอธิบาย
ปราโบโวหั่นงบ–ท้องถิ่นเตรียม 'ขึ้นภาษี'
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปธน.ปราโบโวแห่งอินโดนีเซีย ได้เสนอรัฐสภาให้ปรับลดงบประมาณภูมิภาคลง 1 ใน 4 เหลือ 650 ล้านล้านรูเปีย (ราว 1.3 ล้านล้านบาท) ในปี 2026 เพื่อพยายาม “รวมศูนย์การเงินการคลัง” กลับมาอยู่ที่รัฐบาลกลาง และใช้เงินดังกล่าวไปกับนโยบายสำคัญ เช่น โครงการอาหารกลางวันฟรีสำหรับนักเรียนทั่วประเทศ
ไม่เพียงเท่านั้น ปราโบโวยังได้ตัดงบประมาณภาครัฐลงไปหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านสาธารณสุข การศึกษา และโครงการสาธารณะ ส่งผลให้มีผู้รับเหมาของรัฐหลายพันราย “ถูกเลิกจ้าง” ซึ่งยอดการตัดงบรวมสูงถึง 44,000 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 15% ของงบประมาณแผ่นดิน
แม้รัฐบาลจะมีโครงการอาหารกลางวันฟรีสำหรับนักเรียน แต่กลับลดงบการศึกษาขั้นพื้นฐานและมัธยมลงถึง 480 ล้านดอลลาร์ และตัดงบประมาณอุดมศึกษาลงถึง 25% หรือราว 2,600 ล้านดอลลาร์
แผนการตัดงบครั้งนี้ ย่อมจะยิ่งโหมกระพือการถกเถียงลำดับความสำคัญด้านการใช้จ่ายของปราโบโว รัฐบาลให้เหตุผลว่า โครงการเหล่านี้ จะนำมาซึ่งการเติบโตและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจในระยะยาว
แต่ฝ่ายวิจารณ์กลับมองว่า ลำดับความสำคัญของเขามีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป และยังเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย เพราะทำให้ภูมิภาคต่าง ๆ สูญเสียอำนาจการจัดการงบประมาณของตนเอง
ผู้นำท้องถิ่นระบุว่า การตัดงบครั้งนี้ จะทำให้งบประมาณภูมิภาค “เหลือน้อยที่สุดในรอบ 10 ปี” และจะยิ่งผลักให้เกิดการ “ขึ้นภาษีท้องถิ่น” มากขึ้นอีก
พวกเขาเสริมว่า ตนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขึ้นภาษี เนื่องจากรัฐบาลชุดก่อนพยายามจำกัดอำนาจการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติของท้องถิ่น อีกทั้งงบประมาณภูมิภาคปี 2025 ยังถูกตัดลดลง 6% เมื่อเทียบกับแผนงบประมาณเดิม
ด้านมาซินตัน ปาซาริบู หัวหน้าเขตปกครอง Central Tapanuli บนเกาะสุมาตรากล่าวเสริมว่า การตัดงบประมาณครั้งนี้ คุกคามต่อหลายโครงการที่วางแผนไว้ และ “ประชาชนย่อมโกรธเคืองอย่างแน่นอน”






