คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีคำสั่งขึ้นภาษีของทรัมป์

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีคำสั่งขึ้นภาษีของทรัมป์

ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรกและในสมัยที่สองในปัจจุบัน แก้ปัญหาที่สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าโดยออกคำสั่งฝ่ายบริหารขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าเกือบทั่วโลก

ในอัตราต่างๆ จากอัตราเดิม ตามอำนาจตามกฎหมายที่สำคัญ 3 ฉบับ ทั้งนี้คำสั่งขึ้นภาษีส่วนใหญ่เป็นคำสั่งที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 : IEEP

การฟ้องคดี

คำสั่งขึ้นภาษีของทรัมป์ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการในสหรัฐเอง จึงมีผู้ฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐและศาลท้องถิ่น ซึ่งต่อมาโอนคดีมาที่ศาลการค้าระหว่างประเทศว่า คำสั่งขึ้นภาษีของทรัมป์เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น

- คดีระหว่าง V.O.S. Selections, Inc. และสหรัฐ โดย V.O.S. Selections, Inc ยื่นฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ (US Court of International Trade)

- คดีระหว่าง Learning Resources และTrump โดย Learning Resources ฟ้องประธานาธิบดีทรัมป์ต่อศาล Columbia District Court. ต่อมามีการโอนคดีไปยังศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ

- คดีที่รัฐ Oregon และรัฐอื่นรวม 14 รัฐ ฟ้องประธานาธิบดีทรัมป์และพวก โดยยื่นฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ

ผลคดี 

ศาลการค้าระหว่างประเทศ มีคำพิพากษาคดีดังกล่าวแล้ว สรุปได้ว่า คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตาม International Emergency Economic Powers Act of 1977 เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

ประเด็นสำคัญคือ ตามกฎหมายดังกล่าวประธานาธิบดีต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ว่ามีภัยคุกคามที่ผิดปกติหรือรุนแรงจากต่างประเทศที่คุกคามต่อความมั่นคง เศรษฐกิจหรือผลประโยชน์ของสหรัฐ ประเด็นนี้ศาลเห็นว่า การขาดดุลการค้าไม่เข้าข่ายเป็นภัยที่คุกคามผิดปกติ ตามที่ฝ่ายบริหารใช้เป็นเหตุประกาศภาวะฉุกเฉิน

ประเด็นที่สอง เมื่อประกาศภาวะฉุกเฉินแล้ว ฝ่ายบริหารมีอำนาจดำเนินมาตรการต่างๆตามที่กฎหมายกำหนดไว้ การขึ้นภาษีนำเข้าไม่ใช่มาตรการที่กฎหมายให้อำนาจดำเนินการได้ เป็นการทำเกินอำนาจ พิพากษาให้ฝ่ายบริหารหยุดการขึ้นและเรียกเก็บภาษีนำเข้าตามคำสั่งดังกล่าว

คดีในชั้นศาลอุทธรณ์

ฝ่ายบริหารของสหรัฐได้ยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศดังกล่าวทุกคดี ต่อศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐอเมริกา ( US Court of Appeal Federal Circuit) ที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีอุทธรณ์คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ของศาลทั่วสหรัฐ ขอรวมคดีและขอทุเลาการบังคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รวมคดีทุกสำนวนและทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ตามที่คำขอ

ผลคดีในศาลอุทธรณ์ 

ศาลอุทธรณ์กลางแห่งสหรัฐ มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 โดยผู้พิพากษาเสียงข้างมาก 7 คนจากองค์คณะ 11 คน พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศ และส่งสำนวนคืนกลับไปยังศาลการค้าระหว่างประเทศเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการการเยียวยา เช่น สั่งให้คำสั่งขึ้นภาษีสิ้นผลการใช้บังคับ กรณีที่มีการเรียกเก็บภาษีไว้แล้วก็ให้คืนแก่ผู้นำเข้า และทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศไว้จนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2568

ประเด็นสำคัญ ที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เสียงข้างมากมีความเห็นให้ยืนตามคำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศ คือ ตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 ให้อำนาจประธานาธิบดีมีอำนาจดูแลการนำเข้าสินค้าในยามฉุกเฉินโดยวางระเบียบ(regulate)ในการนำเข้าสินค้า เช่น ห้ามนำเข้า จำกัดการเข้า

ศาลเห็นว่า กฎหมายอื่นที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารในการกำหนดหรือเรียกเก็บภาษีได้ จะระบุถ้อยคำไว้อย่างชัดเจนโดยมีข้อจำกัดกำหนดไว้ เช่น Trade ActหรือTariff Act แต่ในกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 ไม่มีถ้อยคำในกฎหมายดังกล่าวระบุถึงคำว่า ภาษี หรืออากรหรือคำทำนองเดียวกันเลย

และไม่มีถ้อยคำอื่นใดทั้งโดยตรงโดยอ้อมแสดงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ให้อำนาจประธานาธิบดี ขึ้นภาษีนำเข้าได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเลย 

การออกคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายดังกล่าวให้ไว้ และไม่ชอบด้วยหลักการแบ่งแยกอำนาจ เท่ากับฝ่ายบริหารไปก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

ความเห็นแย้ง

ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยในศาลอุทธรณ์ ที่ร่วมนั่งพิจารณาคดีนี้ มีความเห็นแย้ง สรุปได้ว่า ในภาวะฉุกเฉินกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 ให้อำนาจประธานาธิบดีในภาวะฉุกเฉินในการวางระเบียบการนำเข้า ซึ่งอาจรวมถึงการกำหนดภาษีนำเข้าได้

การอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด(U.S. Supreme Court)

มีข่าวจากฝ่ายบริหารของสหรัฐแล้วว่า ได้เตรียมการให้กระทรวงยุติธรรมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดต่อไป มีการคาดการณ์แนวคำพิพากษาของศาลสูงที่ประกอบด้วยผู้พิพากษา 9 คน เป็นสายอนุรักษ์นิยม 6 คน ฝ่ายเสรีนิยม 3 คน โดยพิจารณาจากคำพิพากษาที่ผ่านมาที่ยึดหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นสำคัญ 

โดยพิจารณาว่า หากกฎหมายให้อำนาจฝ่ายบริหารในการกำหนดหรือขึ้นภาษีนำเข้าได้ กฎหมายนั้นต้องมีบทบัญญัติดังกล่าวอย่างชัดแจ้ง

หากไม่มีบทบัญญัติที่ชัดแจ้งไว้ การที่ฝ่ายบริหารออกคำสั่งกำหนดหรือขึ้นภาษีนำเข้า ก็จะเป็นการดำเนินการที่เกินอำนาจ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ ศาลสูงสุดอาจพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ถ้าศาลสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ผลที่ตามมาคือ คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 ทุกคำสั่งต้องถูกยกเลิกทั้งหมด

ผู้นำเข้าที่เสียภาษีไปแล้วตามคำสั่งดังกล่าว เรียกคืนภาษีจากหน่วยงานของสหรัฐที่เรียกเก็บภาษีนั้นได้ ถ้าไม่ยอมคืนก็ใช้สิทธิฟ้องศาลเรียกภาษีคืนได้ และประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่สามารถอาศัยอำนาจตามกฎหมายฉบับนี้ออกคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าได้อีก