อินเดียกับต้นทุนของเชื้อเพลิงชีวภาพ | บ้านเขาเมืองเรา

อินเดียกับต้นทุนของเชื้อเพลิงชีวภาพ | บ้านเขาเมืองเรา

อินเดียบรรลุเป้าหมายในด้านการใช้พลังงานชีวภาพ ก่อนกำหนดเวลาถึง 5 ปี  เนื่องจากการใช้พลังงานจากการเผาผลาญน้ำมันปิโตรเลียม ก่อให้เกิดปัญหาสาหัสทั้งในด้านการทำลายสิ่งแวดล้อมและด้านการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ 

อินเดียจึงให้คำมั่นสัญญาแก่ประชาคมโลกว่าภายในปี 2563 จะเปลี่ยนน้ำมันปิโตรเลียมที่ใช้ในรถยนต์ภายในประเทศจากน้ำมันอย่างเดียว เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์จากพืช 20% (E20)  เมื่อเดือนที่ผ่านมา อินเดียประกาศว่าตนได้บรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว

ความสำเร็จอันงดงามยิ่งนั้นมีผลดีทั้งต่ออินเดียเองและต่อโลกโดยรวม กล่าวคือ ข้อมูลด้านการค้าบ่งว่า อินเดียสามารถประหยัดเงินตราต่างประเทศที่ต้องใช้ในการซื้อน้ำมันปิโตรเลียมจากต่างประเทศได้ปีละนับพันล้านดอลลาร์ พร้อมกับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละหลายล้านตัน 

คาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน  อย่างไรก็ดี ตอนนี้เริ่มมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ต้นทุนของความสำเร็จนั้นอาจสูงกว่าที่คาดคิดไว้อย่างมีนัยสำคัญ

ด้านแรก เนื่องจากเครื่องของรถยนต์ในอินเดียจำนวนมากมิใช่จำพวกที่พร้อมใช้กับเชื้อเพลิงผสม E20 

เจ้าของรถยนต์รายงานกันอย่างกว้างขวางว่า แรงของเครื่องยนต์ลดลงมากเมื่อใช้ E20  นอกจากนั้น ส่วนประกอบบางชิ้นของเครื่องยนต์ยังเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติอีกด้วย 

เพราะเหตุนี้ บริษัทประกันรถยนต์จึงขึ้นค่าประกัน หรือปฏิเสธที่จะออกประกันให้รถจำพวกนี้โดยสิ้นเชิง

ฝ่ายรัฐบาลโต้ว่า เจ้าของรถสามารถเปลี่ยนส่วนประกอบบางชิ้นเพื่อทำให้เครื่องยนต์ใช้ E20 ได้  แต่ไม่ได้บอกว่ารัฐจะทำอะไรเพื่อช่วยจ่ายให้แก่พวกเขา 

ฉะนั้น ต้นทุนอีกส่วนหนึ่งซึ่งมักมองไม่เห็นของการเปลี่ยนไปใช้ E20 จึงไปตกอยู่กับผู้มีและใช้รถยนต์ 

นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนอีกส่วนหนึ่งซึ่งมักถูกมองข้าม นั่นคือ การผลิตส่วนประกอบดังกล่าวและการผลิตแอลกอฮอล์ที่นำมาใช้ในการทำ E20 ต้องใช้ทุนและพลังงาน ซึ่งอาจมาจากการเผาผลาญสารฟอสซิลประกอบด้วยถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ 

ด้านที่สองมาจากการใช้พืชอาหารในการผลิตแอลกอฮอล์  ในปัจจุบัน อินเดียใช้อ้อยผลิตราว 40% ของแอลกอฮอล์ที่ใช้ใน E20  เนื่องจากความต้องการ E20 จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเป็น 2 เท่าของความต้องการทุกวันนี้ในอีก 25 ปีข้างหน้า

อินเดียจะต้องแสวงหาอ้อยมาเพิ่ม หรือไม่ก็ต้องนำอย่างอื่นมาใช้แทนเนื่องจากการปลูกอ้อยใช้น้ำมาก  โดยทั่วไปในอินเดีย น้ำมักหายาก  หากจะใช้ข้าวโพด อินเดียต้องซื้อเนื่องจากเริ่มผลิตได้ไม่พอแล้ว  

การเผาสิ่งเหล่านั้นเกิดควันและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  ฉะนั้น ต้องนำมันมาพิจารณาเป็นต้นทุนด้วย

หากจะใช้ข้าวซึ่งในปัจจุบันอินเดียผลิตได้โดยไม่ต้องนำเข้า ต้นทุนในรูปแบบอื่นจะเกิดขึ้น เช่น ปีนี้รัฐบาลอนุญาตให้นำข้าวสำรอง 5.2 ล้านตันออกมาใช้ผลิตแอลกอฮอล์แทนการขายให้คนจนด้วยราคาต่ำดังที่ทำมาก่อน 

ข้อมูลบ่งว่า ชาวอินเดียกว่า 250 ล้านคนขาดแคลนอาหาร  การอดอยากของคนจนจึงเป็นต้นทุนของการใช้ E20 ด้วย 

หากจะผลิตข้าวเพิ่ม อินเดียอาจพิจารณาใช้ที่ดินซึ่งในปัจจุบันใช้ปลูกพืชตระกูลถั่วอันเป็นแหล่งสำคัญในด้านโปรตีนสำหรับชาวอินเดีย  ถ้าจะนำเข้าก็ต้องใช้เงินตราต่างประเทศ

การเพิ่มผลผลิตของพืชแต่ละชนิดเป็นทางออกที่มีผู้เสนอให้พิจารณา  แต่เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า จะทำได้ต้องลงทุนในระบบชลประทานและใช้สารเคมีอย่างเข้มข้นขึ้นอีก  การจะทำเช่นนี้มีต้นทุนทั้งในด้านการใช้เงินและด้านการทำลายสิ่งแวดล้อม  

เรื่องราวดังกล่าวน่าจะชี้ให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า เราจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องทุนให้ครบทุกมิติก่อนจะตัดสินใจทำอะไร  ในหลาย ๆ กรณีมีต้นทุนที่ไม่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดแฝงอยู่ 

ส่วนผู้จ่ายเราอาจไม่ได้คาดคิดมาก่อน  นอกจากนั้น มันยังบ่งบอกว่าปัญญาของมนุษย์เรายังมีจำกัด เนื่องจากเราไม่สามารถมองเห็นผลของการกระทำอย่างหนึ่ง หรือการใช้เทคโนโลยีใหม่จะทำให้เกิดอะไรทั้งหมดได้ 

การมองไม่เห็นผลทั้งหมดนี้มีโอกาสนำไปสู่การกระทำที่มีความประมาทสูง