พ่อแม่จีน หันหลังส่งลูกเรียนนอก? มองแพง-เสี่ยง-บรรยากาศไม่เอื้อ

พ่อแม่จีน หันหลังส่งลูกเรียนนอก? มองแพง-เสี่ยง-บรรยากาศไม่เอื้อ

‘ปริญญาต่างประเทศ’ จากเดิมที่เคยถูกมองเป็น ‘ตั๋วทอง’ ทางอาชีพ มาวันนี้ กำลังเสื่อมมนต์ขลังลงหรือไม่ ท่ามกลางค่าเล่าเรียนสูงเสียดฟ้า ความเสี่ยงด้านอาชีพ และตลาดงานที่ไม่เห็นคุณค่าวุฒิต่างชาติเหมือนแต่ก่อน จนเกิดกระแสพ่อแม่จีน หันให้ลูกเรียนในประเทศแทน

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ครอบครัวชนชั้นกลางของจีนเคยมองว่า “การส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ” คือ เส้นทางสู่ความสำเร็จในอนาคต แต่ในวันนี้ ภาพนั้น “กำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน” กระแสกลับบ้านเกิด หรือเลือกเรียนในประเทศ กลับเติบโตขึ้นมาแทน ท่ามกลางความขัดแย้งกับสหรัฐ ค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูง ความเสี่ยงด้านอาชีพ และบรรยากาศชาตินิยมที่พุ่งขึ้น

หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานว่า หนึ่งในนั้นคือกรณีของ “อีวา เติ้ง” คุณแม่ชาวเซินเจิ้น เธอตัดสินใจ “ย้าย” ลูกชายวัย 12 ปี ออกจากโรงเรียนนานาชาติที่เรียนหลักสูตรอังกฤษมาหลายปี เพื่อหันมาเข้า “โรงเรียนมัธยมในระบบของจีน” เป้าหมายไม่ใช่การเดินทางไปอังกฤษหรือสหรัฐเหมือนแต่ก่อน แต่คือการเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนในสาขา “วิทยาศาสตร์เกิดใหม่” โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI)

การตัดสินใจนี้ ทำให้ลูกชายของเธอต้องเปลี่ยนเส้นทางจากการเรียนหลักสูตรนานาชาติ มาสู่การเตรียมแข่งขันทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการเขียนโปรแกรม ซึ่งถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญสู่ประตูมหาวิทยาลัยระดับท็อปของประเทศ

“ไม่ใช่แค่ลูกชายฉัน หลายครอบครัวก็เริ่มย้ายลูกมาเรียนโรงเรียนรัฐ เพราะรู้สึกว่าอนาคตการเรียนในประเทศ อาจให้โอกาสมากกว่า” เติ้งกล่าว

สำหรับความคิดเรื่องการเรียนต่อ กำลังเปลี่ยนไปพร้อมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในจีน เมื่อไม่นานมานี้ จีนเพิ่งจัดการแข่งขันกีฬาหุ่นยนต์มนุษย์ “ครั้งแรกของโลก” ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล กรีฑา หรือชกมวย

ขณะเดียวกัน บริษัทผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์จีนหลายแห่ง โดยเฉพาะ “Cambricon Technologies” ก็ถูกจับตาในฐานะผู้ท้าชิงที่จะก้าวขึ้นมาเป็น “Nvidia เวอร์ชั่นจีน” ความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความมั่นใจแก่ผู้ปกครองและนักเรียน แต่ยังจุดประกายความหวังว่า “การเรียนในประเทศจีน” อาจกลายเป็นเส้นทางที่เปิดโอกาสใหม่ ๆ ไม่น้อยไปกว่าการเดินทางไปต่างแดนเลย

แพง-เสี่ยง-บรรยากาศไม่เอื้อ พ่อแม่จีนลังเลส่งลูกเรียนนอก

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลายครอบครัวกังวล คือ ความเสี่ยงการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการเข้มงวดของรัฐบาลทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นสแกนโซเชียลมีเดีย เพิกถอนวีซ่านักเรียนต่างชาติในกว่า 30 มลรัฐ และการบังคับให้มหาวิทยาลัยชื่อดัง ต้องส่งข้อมูลนักศึกษาให้หน่วยงานความมั่นคง

ไม่เพียงเท่านั้น ค่าใช้จ่ายเรียนต่อต่างประเทศ ก็สูงลิ่วถึง 600,000–700,000 หยวนต่อปี (ราว 2.7–3.1 ล้านบาท) ซึ่งสำหรับครอบครัวชนชั้นกลางถือว่าหนักหน่วง และเมื่อเรียนจบแล้ว ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้งาน หรือแม้แต่โอกาสสัมภาษณ์

“รุ่นพ่อแม่เราเคยเชื่อว่า เมื่อขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางได้ ก็ต้องส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ในวันนี้ เด็กที่จบนอก ก็กลับอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ” ฟาง ลี่ คุณแม่จากนครกว่างโจวกล่าว

ฟางอธิบายว่า ในขณะนี้ ไม่เพียงค่าเรียนเมืองนอกจะแพงขึ้น แต่โอกาสได้งานในต่างประเทศก็ลดลงมาก เพราะปัจจัยตึงเครียดจีน–สหรัฐ มาตรการจำกัดวีซ่า และนโยบายกีดกันแรงงานต่างชาติ อีกทั้งเมื่อเรียนจบแล้วกลับจีน วุฒิจากต่างประเทศอาจไม่ได้มีน้ำหนักมากเหมือนในอดีต 

ด้านซง ปิงฉี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นคลังสมองในกรุงปักกิ่ง ระบุว่า วัฒนธรรมการไปเรียนต่อต่างประเทศของจีนในปัจจุบันยังคง “มุ่งเน้นที่ปริญญา” เป็นหลัก ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการ “ด้อยค่าอย่างรวดเร็ว” เมื่อจำนวนผู้ที่ไปเรียนและผู้ที่กลับมาจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เขากล่าวเสริมว่า “เมื่อรวมเข้ากับค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลที่ต้องลงทุนแล้ว คุณค่าของการเรียนต่อต่างประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยแค่ใบปริญญา ก็กำลังถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อย ๆ”

นอกจากนี้ อีกความกังวลของผู้ปกครองชาวจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือ การเพิ่มขึ้นของ “ความรุนแรงและการเหยียดเชื้อชาติ” ต่อชาวเอเชียในประเทศตะวันตก ซึ่งยิ่งทวีความรุนแรงในช่วงการระบาดของโควิด-19 และยังคงดำเนินต่อเนื่องภายใต้นโยบายต่าง ๆ เช่น วาระต่อต้านการย้ายถิ่นฐานของทรัมป์

“เราอยากให้ลูกได้เห็นวัฒนธรรมที่หลากหลายและเปิดโลกทัศน์ แต่ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ก็ยิ่งยากที่จะรับมือมากขึ้นเรื่อย ๆ” เติ้งกล่าว

วุฒิต่างชาติ เริ่มเสียมูลค่าในตลาดงาน?

เมื่อก่อน “วุฒิการศึกษาจากต่างประเทศ” ถูกมองว่ามีคุณค่ามากกว่าวุฒิในประเทศ แต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป รายงานของ Liepin เอเจนซี่จัดหางานชี้ว่า กว่า 70% ของนายจ้างจีนในปีนี้ ไม่มีความต้องการแรงงานที่จบจากต่างประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่ง เช่น ปักกิ่งและกวางตุ้ง ยังประกาศตัดสิทธิผู้ที่จบจากต่างประเทศออกจากโครงการสอบบรรจุรับราชการชั้นสูง ซึ่งเคยเป็นเส้นทางอาชีพที่มั่นคง
ทัศนคติในสังคมก็เริ่มเปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น ตง หมิงจู ประธานบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า Gree Electric ถึงกับประกาศว่า บริษัทจะหลีกเลี่ยงการจ้างผู้บริหารที่จบจากต่างประเทศ เพราะอาจเป็น “สายลับ” พร้อมย้ำว่า ต้องการ “คนจีนที่เติบโตในประเทศ” มากกว่า

เด็กจีนรุ่นใหม่กับเทรนด์ที่เปลี่ยนไป

เฉิน จื้อเหวิน นักวิจัยด้านการศึกษา และสมาชิกสมาคมยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาของจีน อธิบายว่า เด็กจีนรุ่นหลังปี 2000 เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มั่งคั่งกว่ารุ่นก่อน มีความภาคภูมิใจในชาติสูงกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขา ไม่หมกมุ่นกับการไปเรียนต่างประเทศเหมือนแต่ก่อน

สถิติก็ยืนยันแนวโน้มนี้ โดยมหาวิทยาลัยปักกิ่งระบุว่า จำนวนนักศึกษาปริญญาตรีที่ “ไปศึกษาต่อในต่างประเทศ” ในปี 2024 ลดลงราว 21% เมื่อเทียบกับปี 2019 ก่อนการระบาดของโควิด-19

ส่วนมหาวิทยาลัยชิงหวา ก็มีตัวเลขลดลง 28% ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ Beijing Institute of Technology ลดลงมากถึง 50%

สำหรับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน และมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ก็รายงานตัวเลขนักศึกษาที่ไปเรียนต่อต่างประเทศลดลงเช่นกัน โดยอยู่ที่ 28.57% และ 17.7% ตามลำดับ

แต่การเรียนต่อนอก ยังไม่หายไป

อย่างไรก็ตาม แม้กระแสหลักจะเปลี่ยน แต่ตัวเลขนักเรียนจีนที่ไปต่างประเทศยังคงเพิ่มขึ้นในภาพรวม โดยเฉพาะไปยัง “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ ที่มีคุณภาพการศึกษาและค่าครองชีพต่ำกว่าตะวันตก การกลับมาของบัณฑิตจากสองประเทศนี้ในปี 2024 เพิ่มขึ้นกว่า 70% และ 35% ตามลำดับ ตามข้อมูลจากศูนย์บริการแลกเปลี่ยนนักวิชาการจีน ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการจีน

“การเพิ่มขึ้นนี้ ได้รับแรงหนุนจากนักศึกษาที่มาจาก ‘ครอบครัวชนชั้นแรงงาน’ และผู้ที่เลือกไปเรียนต่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หวัง ต๋าฉวน ผู้อำนวยการศูนย์บริการแลกเปลี่ยนนักวิชาการจีนกล่าวในการประชุมด้านการศึกษาเมื่อปลายเดือนมีนาคม

นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรและกลุ่มประเทศเครือจักรภพ ก็กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น ขณะที่สหรัฐกลับมีนักเรียนจีนลดลงอย่างชัดเจน โดยในปีการศึกษา 2022–23 มีจำนวนน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014 ตามรายงาน Open Doors Report on International Educational Exchange 2023 ของสถาบัน Institute of International Education

เฉิน จื้อเหวิน นักวิจัยด้านการศึกษากล่าวว่า การลดลงอย่างมากในสหรัฐ ซึ่งถือเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักเรียนจีน แสดงให้เห็นว่า ความนิยมของชาวจีนในการไปเรียนต่อที่ตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐ “กำลังลดลง”

“ท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐและพันธมิตร จีนถูกบังคับให้ต้องย้ายฐานอุตสาหกรรมไปยังประเทศตามโครงการ Belt and Road ซึ่งผมคิดว่า นั่นจะผลักให้นักเรียนจีนจำนวนมากไปศึกษาต่อในประเทศเหล่านั้น เพราะจีนต้องการบุคลากรในกระบวนการย้ายฐานการผลิตครั้งนี้” เฉินกล่าว

อ้างอิง: scmpbbcaljazeera