อินเดียบน ‘ทางสองแพร่ง’ ตลาดใหญ่สหรัฐ VS น้ำมันถูกรัสเซีย อยู่ข้างไหนเจ็บกว่า?

‘อินเดีย’ ถูกบีบให้อยู่กลางแรงกดดันของมหาอำนาจ เลือกตลาดใหญ่สหรัฐ หรือพลังงานราคาถูกจากรัสเซีย การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงชี้ชะตาอนาคตเศรษฐกิจ แต่ยังสะเทือนถึงความสัมพันธ์กับสองมหาอำนาจ
ภาษีทรัมป์ “สูงที่สุดในโลกที่ 50%” มีผลบังคับใช้แล้วต่อ “อินเดีย” และนี่ถือเป็นแรงบีบรุนแรงให้อินเดียเลิกซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งถูกมองว่าสนับสนุนรายได้ของมอสโกท่ามกลางสงครามยูเครน ด้านอินเดียได้ออกมาประณามภาษีนี้ ชี้ไม่ยุติธรรม และเกินความจำเป็น พร้อมยืนยันว่า การบริโภคน้ำมันรัสเซีย จำเป็นต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
นี่จึงเป็นบททดสอบครั้งสำคัญ “ทางสองแพร่ง” ที่อินเดียอาจต้องเลือก ระหว่าง “ผลประโยชน์การค้ากับสหรัฐ” หรือ “ผลประโยชน์น้ำมันถูกจากรัสเซีย”
ผู้ซื้อน้ำมันดิบทางทะเล ‘รายใหญ่ที่สุด’ ของรัสเซีย
ที่ผ่านมา “อินเดีย” ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ได้ซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียประมาณ 37% พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากระดับที่น้อยมากก่อนเหตุการณ์บุกยูเครน ตามข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Kpler เหตุผลเพราะหลังจากที่เหล่าชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย ราคาน้ำมันรัสเซียก็ถูกลงอย่างมาก ต่ำกว่าราคาตลาดโดยทั่วไป จนดึงดูดให้อินเดียซื้อในปริมาณมหาศาล
ไม่เพียงเท่านั้น สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า อินเดียยังได้แซงหน้าจีน ขึ้นเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบทางทะเลจากรัสเซีย “รายใหญ่ที่สุด” อีกด้วย แม้ว่าส่วนลดสำหรับน้ำมันรัสเซียจะแคบลงจากเคยสูงถึงกว่า 23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2023 เหลือเพียง 4.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนพฤษภาคม แต่การเปลี่ยนไปหาผู้ผลิตจากตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย จะทำให้อินเดียมีต้นทุนนำเข้าที่สูงขึ้น
พันธมิตรยาวนาน จากสงครามเย็นถึงสงครามยูเครน
ไม่ใช่เพียงผลประโยชน์ด้านน้ำมันเท่านั้น ที่ทำให้อินเดียกับรัสเซียใกล้ชิดกัน ย้อนไปใน “ยุคสงครามเย็น” แม้ว่าอินเดียประกาศตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคนั้น แต่การที่สหรัฐให้การสนับสนุน “ปากีสถาน” (ศัตรูของอินเดีย) ในสงครามกลางเมืองปี 1971 ซึ่งนำไปสู่การเป็นเอกราชของบังกลาเทศ ได้ผลักอินเดียให้เข้าใกล้รัฐบาลมอสโกมากขึ้น
ในตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย และรัสเซียได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เกิดการร่วมมือกันตั้งแต่อวกาศ พลังงานนิวเคลียร์ และโดยเฉพาะการป้องกันประเทศ อินเดียถือเป็น “ลูกค้าอาวุธสงครามรายใหญ่” ของรัสเซีย ตั้งแต่เครื่องบินรบ รถถัง ระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ไปจนถึงขีปนาวุธ ตามรายงานจากสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยอิสระด้านการค้าอาวุธทั่วโลก
เมื่อคราวสงครามรัสเซียบุกยูเครน อินเดียยังคงรักษาสายสัมพันธ์อันยาวนานกับมอสโก โดย “งดออกเสียง” ในการลงคะแนนของสหประชาชาติที่ประณามสงครามในยูเครน รวมถึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย
สำหรับ “การค้าระหว่างอินเดียกับรัสเซีย” ในปีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มูลค่ารวม 68,700 ล้านดอลลาร์ โดยการส่งออกจากอินเดียไปยังรัสเซียอยู่ที่ 4,900 ล้านดอลลาร์ และการนำเข้าจากรัสเซียอยู่ที่ 63,800 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ รัสเซียลงทุนในอินเดียมากที่สุดในอุตสาหกรรมน้ำมัน และก๊าซ ปิโตรเคมี ธนาคาร รถไฟ และเหล็กกล้า ส่วนการลงทุนของอินเดียในรัสเซีย เน้นไปที่น้ำมัน ก๊าซ และอุตสาหกรรมยา
อินเดียบนทางสองแพร่ง ควรเลือกข้างไหน
ในทางสองแพร่งนี้ หากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียต่อไป ก็เสี่ยงที่จะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้นกว่าเดิมจาก 50% ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน อีกทั้งข้อมูลจากบลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ระบุว่า ภาษีระดับ 50% นี้ อาจทำให้การส่งออกไปยังอเมริกาลดลงถึง 60% และทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดีย “ลดลง 0.9%”
ในปีที่ผ่านมา อินเดียส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 87,000 ล้านดอลลาร์ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า หากเปรียบเทียบขนาดการค้าของอินเดียกับสหรัฐ กับเงินที่ประหยัดได้จากการซื้อน้ำมันดิบรัสเซียเพียงไม่กี่พันล้านดอลลาร์ ถือว่าไม่ค่อยคุ้มค่า
“ถ้าคุณมองที่ขนาดของการค้าระหว่างอินเดียกับสหรัฐ แล้วเปรียบเทียบกับเม็ดเงินที่อินเดียประหยัดได้จากการซื้อน้ำมันดิบรัสเซีย ก็เห็นได้ว่าอินเดียจะเลือกทางไหน” วอร์เรน แพตเตอร์สัน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ ING Groep NV ในสิงคโปร์ กล่าว “คุณจะยอมเสี่ยงกับการส่งออกไปสหรัฐ มูลค่าสูงถึง 87,000 ล้านดอลลาร์ เพียงเพื่อประหยัดเงินไม่กี่พันล้านจากส่วนลดน้ำมันหรือ?”
ในทางกลับกันอีกมุมมองหนึ่ง การยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันของสหรัฐ และเลิกซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ก็จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันยาวนานกับมอสโก และอาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ และการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย
ธนาคาร Standard Chartered ประเมินว่า การเปลี่ยนจากการพึ่งพาน้ำมันรัสเซีย 100% อาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการนำเข้าประจำปีของอินเดีย 4,000-6,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.3-2.1 แสนล้านบาท) และหากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคอย่างเต็มที่ อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นสูงถึง 3-5 จุดพื้นฐาน กระทบต่อค่าครองชีพประชาชน
นี่จึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับอินเดีย ระหว่างความมั่นคงด้านพลังงาน มิตรภาพยาวนานกับรัสเซีย กับโอกาสการค้ากับตลาดใหญ่สหรัฐ ทางสองแพร่งครั้งนี้ จะนิยามบทบาทของอินเดียในเวทีโลกว่า จะยืนข้างใครมากกว่ากัน
อ้างอิง: bloomberg, bloomberg(2), cnn
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







