‘โซลาร์เซลล์จีน’ ส่อวิกฤติ ขาดทุนยกแผง ปักกิ่งเร่งเบรก ‘ตัดราคาจนเจ๊ง’

แม้จีนครองบัลลังก์ตลาดโซลาร์เซลล์โลก แต่การขยายตัวอย่างรวดเร็วกลับสร้าง ‘ภาวะล้นตลาด’ จนผู้ผลิตรายใหญ่ขาดทุนหนัก ราคาดิ่งต่ำสุดรอบทศวรรษ รัฐบาลปักกิ่งจึงต้องเร่งกดดันค่ายโซลาร์ให้หยุด ‘สงครามราคา’ หวังพยุงอุตสาหกรรมที่กำลังเข้าสู่จุดวิกฤติ
แม้ว่า “โซลาร์เซลล์จีน” ครองส่วนแบ่งตลาดโลกมากที่สุด สูงถึง 55% ตามข้อมูลจากองค์กร SolarPower Europe แต่ความเป็นผู้นำดังกล่าว กลับไม่ได้การันตีผลกำไรแต่อย่างใด บรรดาผู้ผลิตชั้นนำ 7 รายของจีน ทยอยรายงานผลประกอบการ “ขาดทุนมหาศาล” ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 สะท้อนปัญหา “กำลังการผลิตล้นตลาด” ที่กดราคาทั้งห่วงโซ่อุปทานให้ร่วงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ความต้องการติดตั้งโซลาร์ในประเทศยังเติบโตต่อเนื่องก็ตาม
เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า หนึ่งในนั้น คือ “Tongwei” ผู้ผลิตโซลาร์เซลล์รายใหญ่ที่จดทะเบียนในนครเซี่ยงไฮ้ รายงานขาดทุนสุทธิ 4,960 ล้านหยวน (ราว 22,000 ล้านบาท) ในช่วงมกราคม–มิถุนายน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 3,130 ล้านหยวน (ราว 14,000 ล้านบาท)
ขณะที่ “Trina Solar” พลิกจากกำไร 526 ล้านหยวน (ราว 2,300 ล้านบาท) กลายเป็นขาดทุน 2,920 ล้านหยวน (ราว 13,000 ล้านบาท) แทน
ส่วน “Longi Green Energy” แม้ขาดทุนลดลงเหลือ 2,570 ล้านหยวน (ราว 11,000 ล้านบาท) แต่ก็ยังเผชิญแรงกดดันจากราคาโซลาร์ที่ตกต่ำต่อเนื่อง
- รายได้สุทธิของผู้เล่นรายใหญ่ในโซลาร์เซลล์จีน (กราฟิก: วิชัย นาคสุวรรณ) -
ราคาโซลาร์จีน ดิ่งต่ำสุดรอบทศวรรษ
ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานแห่งชาติจีน (NEA) ระบุว่า จีนได้ติดตั้งกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ใหม่ถึง 212.2 กิกะวัตต์ในครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากปีก่อน และทำให้กำลังการผลิตรวมของประเทศทะลุ 1.1 เทราวัตต์ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าจากสิ้นปี 2020 ทว่า การขยายตัวแบบก้าวกระโดดนี้ กลับสร้าง “ภาวะล้นตลาด” อย่างรุนแรง
“ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากภาวะอุปสงค์–อุปทานที่ไม่สมดุล ราคาตามห่วงโซ่อุตสาหกรรมยังคงดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมผลิตพลังงานจากแสงโดยรวม ยังคงจมอยู่กับการขาดทุน” บริษัทโซลาร์ Longi Green Energy Technology ระบุไว้ในรายงานการเงิน
ก่อนหน้านั้นไม่นาน เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ราคาของแผงโซลาร์ร่วงลงเหลือเพียง 8.7 เซนต์ต่อวัตต์ “ตกต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี” นับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลปี 2011 นอกจากรายได้ที่หดตัวแล้ว ผู้ผลิตหลายรายยังต้องบันทึกการด้อยค่าของสินค้าคงเหลือและสินทรัพย์อื่น ๆ ส่งผลให้ตัวเลขขาดทุนพุ่งสูงขึ้น
สหรัฐซ้ำเติมโซลาร์จีน ฟันกำแพงภาษีสูงสุด 3,400%
ในปัญหาของผู้ผลิตโซลาร์จีน ไม่ได้มาจากการฟาดฟันราคากันเองเท่านั้น แต่ยังถูกซ้ำเติมจาก “มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐ” ด้วย โดยล่าสุด รัฐบาลทรัมป์ยกเลิกเครดิตภาษีที่เคยจูงใจการผลิตพลังงานสะอาดในประเทศ และเพิ่มกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 30% รวมถึงกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 3,400% สำหรับโซลาร์เซลล์ที่ผลิตจากกัมพูชา มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ซึ่งเป็นฐานผลิตหลักของบริษัทจีนที่ย้ายหนีภาษีรอบก่อน
กรณีของ “TCL Zhonghuan Renewable Energy” สะท้อนชัดถึงผลกระทบ โดยบริษัทลูกในสิงคโปร์ Maxeon Solar Technologies ถูกสั่งห้ามส่งออกไปยังสหรัฐตั้งแต่กลางปี 2024 หลังตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกแผงโซลาร์จากโรงงานในเม็กซิโก ถูกกักที่ชายแดน ส่งผลให้ยอดส่งออกในครึ่งปีแรก หายไปถึง 85%
ปักกิ่งเร่งหยุด ‘สงครามราคา’
ต่อเนื่องจากการขาดทุนเป็นปีที่สอง รัฐบาลจีนเริ่มกดดันผู้เล่นรายใหญ่ให้หยุดการแข่งขันแบบ “ตัดราคาจนเจ๊ง” โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) จัดประชุมร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นไฟฟ้า และเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ ปิดกำลังการผลิตที่ล้าสมัย พร้อมย้ำว่า ต้องยุติการแข่งขัน “แบบตัดราคา” ที่ทำร้ายทั้งอุตสาหกรรม
แม้ท่าทีดังกล่าวช่วยดันราคาหุ้นพลังงานแสงอาทิตย์จีนฟื้นตัวบ้าง แต่รัฐบาลยังไม่ได้ออกมาตรการที่ชัดเจนว่า จะลดกำลังการผลิตอย่างไร นักวิเคราะห์มองว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ยากกว่ากรณีเหล็กและซีเมนต์ เพราะผู้ผลิตรายใหญ่ส่วนใหญ่เป็น “เอกชน” ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่รัฐสั่งได้เด็ดขาด
โคซิโม รีส์ นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ Trivium Consulting ระบุว่า “ก้าวแรก” ที่ต้องทำในการแก้ปัญหาอุตสาหกรรมโซลาร์ คือ ต้องควบคุมหรือลดการอุดหนุนที่รัฐบาลท้องถิ่นมอบให้ เพราะเงินอุดหนุนเหล่านี้ไปช่วยพยุงบริษัทเล็ก ๆ ที่กำลังมีปัญหาให้อยู่รอด ทั้งที่ตามกลไกตลาด ควรจะถูกปรับโครงสร้างหรือออกจากตลาดไปแล้ว
หากยังปล่อยให้ท้องถิ่นอุ้มผู้เล่นอ่อนแอ อุตสาหกรรมก็จะยังคงมีปัญหา “กำลังการผลิตล้นเกิน” และการแข่งขันที่ไม่ยั่งยืน
ยกตัวอย่าง กรณีของ Das Solar ที่แม้จะยกเลิกแผน IPO หลังผลประกอบการดิ่งลง แต่กลับได้รับการอุ้มจากบริษัทการลงทุนรัฐวิสาหกิจท้องถิ่นในมณฑลเจียงซูเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ รีส์เตือนว่า การลดเงินอุดหนุนเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ควรมีการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อซื้อสต๊อกส่วนเกินและกำลังการผลิตที่เกินความต้องการ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่คล้ายกับสิ่งที่ปักกิ่งเคยใช้กองทุนอุตสาหกรรมเข้ามาช่วยพยุงภาคส่วนที่มีปัญหาในอดีต
แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่า ใครจะเป็นผู้ลงเงินเข้ากองทุน และจะรับผิดชอบในสัดส่วนเท่าใด
ในการแก้ปัญหาอุปทานล้น รีส์ทิ้งท้ายว่า “ท้ายที่สุดแล้ว จำเป็นต้องมีการปิดกำลังการผลิต (โรงงาน) จำนวนมาก แต่ปัญหาคือ เป็นเรื่องยากที่จะหาข้อตกลงที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และยังคงความยุติธรรมในระดับหนึ่ง”
อ้างอิง: nikkei, solar







