วิจัยชี้ ‘ตั้งราคาอาหารให้แพง’ ทำให้มุมมองรสชาติ ‘ดีขึ้นจริง’ รู้จัก Price-Placebo Effect

วิจัยชี้ ‘ตั้งราคาอาหารให้แพง’ ทำให้มุมมองรสชาติ ‘ดีขึ้นจริง’ รู้จัก Price-Placebo Effect

เมื่อ ‘ราคา’ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่มีอิทธิพลต่อรสชาติ ความพึงพอใจ และภาพลักษณ์ งานวิจัยคอร์เนลล์ชี้ อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีราคาสูง มักถูกมองว่าอร่อยกว่าและมีคุณค่ามากกว่า แม้คุณภาพจริงจะไม่ต่างกัน

เคยหรือไม่ที่เมื่อเราลองชิมไวน์หรือชาในครั้งแรก อาจรู้สึกว่ารสชาติไม่ได้ถูกปากนัก แต่เมื่อรู้ว่ามีราคาแพงมาก ความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นดูอร่อยขึ้นมา เช่นเดียวกับกรณีดราม่าของ “ร้านเจ๊ไฝ” ขายไข่เจียวปูจานละ 4,000 บาท ผัดผักรวมจานละ 600 บาทซึ่งมีราคาสูงกว่าท้องตลาดมาก อีกทั้งการจัดร้านก็เรียบง่าย ไม่มีแอร์ แต่กลับยังมีผู้คนพร้อมจะจองคิว และยอมรอเป็นชั่วโมงเพื่อได้ลิ้มลองรสชาติ

คำถาม คือ อะไรคือคำอธิบายของปรากฏการณ์นี้ แล้วการ “ตั้งราคาสูงเข้าไว้” จะช่วยให้ความรู้สึกต่ออาหารดีขึ้นหรือไม่

สำหรับคำตอบของเรื่องนี้ ในงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐระบุว่า “จริง” ถือเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “Price-Placebo Effect” โดยพบว่า คนมักมองว่าอาหารอร่อยขึ้น เมื่อมีราคาสูงกว่า แม้ว่าจะเป็นอาหารแบบเดียวกันก็ตาม ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่จ่าย 8 ดอลลาร์ เพื่อกินบุฟเฟต์ที่ร้านอาหารอิตาเลียนในนิวยอร์ก ประเมินว่าอาหาร “อร่อยกว่า” กลุ่มที่จ่าย 4 ดอลลาร์ สูงถึง 11% 

เรื่องนี้สะท้อนว่า “ราคา” มีผลต่อการรับรู้รสชาติและความพึงพอใจ เรามักเชื่อมโยงราคาที่สูง เข้ากับความพึงพอใจที่มากกว่า แม้คุณภาพจริงของอาหารจะไม่ต่างกัน

ในทางกลับกัน “เพียงแค่การลดราคาของอาหารในร้าน ก็ส่งผลอย่างมากต่อวิธีที่ลูกค้าประเมินและชื่นชมอาหาร” ตามคำกล่าวของไบรอัน แวนซิงค์ (Brian Wansink) ศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคแห่ง Dyson School of Applied Economics and Management มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัย

“ถ้าอาหารวางอยู่ตรงหน้า คุณก็จะกินมันอยู่แล้ว แต่เรื่องราคา มีผลอย่างมากต่อความรู้สึกที่คุณมีต่อมื้อนั้น และต่อวิธีที่คุณจะประเมินร้านอาหารด้วย” ออซเก ซีกีร์จี หนึ่งในนักวิจัยผู้ทำการศึกษานี้กล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่จ่ายเงินในราคาที่ถูกถึงถูกมาก มักจะรายงานว่า รู้สึกกินมากเกินไป รู้สึกผิดต่อมื้ออาหาร และความพึงพอใจในอาหารก็ลดลงเรื่อย ๆ ตลอดช่วงเวลาที่กิน ซึ่งราคาที่ถูกมาก อาจไปกระตุ้นให้ผู้บริโภคสงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับการลดทอนคุณภาพบางอย่างหรือไม่

“แค่การลดราคาอาหารในร้าน ก็ส่งผลอย่างมหาศาลต่อวิธีที่ลูกค้าประเมินและให้คุณค่าอาหารนั้น” แวนซิงค์กล่าว

ตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งของปรากฏการณ์นี้ก็คือ “กุ้งล็อบสเตอร์” แม้ในช่วงที่ราคาล็อบสเตอร์จะดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่คุณแทบไม่เคยเห็นร้านอาหารนำส่วนลดนั้น มาลดราคาเมนูให้ลูกค้าเลย โดยเจมส์ ซูโรวีคกี (James Surowiecki) เขียนอธิบายปรากฏการณ์ที่ดูขัดแย้งนี้ไว้ใน The New Yorker ว่า

“ราคาที่สูง ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของภาพลักษณ์ล็อบสเตอร์ และเช่นเดียวกับ ‘สินค้าแบรนด์หรู’ หลายอย่าง ค่าใช้จ่ายที่แพง มักเชื่อมโยงกับความเพลิดเพลิน งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้คนมักชอบไวน์ราคาถูกกว่า ‘เมื่อลองชิมแบบปิดป้าย’ แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับรู้สึกดื่มด่ำและเพลิดเพลินมากขึ้น เมื่อดื่มไวน์ที่ถูกบอกว่ามีราคาแพง หากล็อบสเตอร์ถูกตั้งราคาเหมือนไก่ เราอาจจะสนุกกับมันน้อยลง นี่เป็นความพยายามที่ซับซ้อนอย่างน่าประหลาด ที่ทั้งตอบสนองและกำหนดความต้องการของลูกค้าไปพร้อมกัน”

ยิ่งไปกว่านั้น การใส่เมนูที่มีราคาสูงอย่างล็อบสเตอร์ลงในรายการอาหาร ยังช่วยให้ร้านขายเมนูระดับกลางได้ง่ายขึ้น เพราะทำให้เมนูเหล่านั้น “ดูเหมือนถูกลง” เมื่อเปรียบเทียบ

อย่างไรก็ตาม การตั้งราคาขายที่สูง เพื่อให้คุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ ขยับสูงขึ้นนั้น ก็มาพร้อมกับ “ความคาดหวัง” ที่สูงขึ้นตามด้วย โดย “คุณภาพ” จำเป็นต้องล้อตามไปด้วย 

ถ้าเป็นเรื่องอาหาร ลูกค้าอาจคาดหวังคุณภาพของวัตถุดิบ ความนุ่มของเมล็ดข้าว บรรยากาศของร้าน ไปจนถึงรายละเอียดเล็กน้อย เช่น ฝีมือของเชฟซูชิผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะใส่ใจถึงกระทั่งจำนวนครั้งและน้ำหนักมือในการตบข้าวซูชิ เพราะหากกดแรงเกินไป ข้าวจะแน่นและแข็ง กินแล้วไม่ฟู และถ้ากดเบาเกินไป ข้าวก็อาจแตกกระจายเวลากิน

ด้วยเหตุนี้ หาก “ราคาที่สูง” กลับไม่สอดคล้องกับคุณภาพจริง ย่อมเสี่ยงที่จะสร้างผลลบตามมาได้ ไม่ต่างจากราคาหุ้นที่พุ่งแรง แต่คุณภาพกำไรกลับไม่หนุนเสริม เมื่อความคาดหวังไม่ตรงปก สิ่งที่สะท้อนกลับมา อาจเป็นแรงกระแทกที่ทำลายความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ได้ในทันที 

อ้างอิง: yahoonewyorkerhuffpost