เปิดเบื้องลึก 'อีวีจีน' รุกหนักอาเซียน ตั้งราคาได้ กำไรดี แม้ทำ 'สงครามราคา'  

เปิดเบื้องลึก 'อีวีจีน' รุกหนักอาเซียน ตั้งราคาได้ กำไรดี แม้ทำ 'สงครามราคา'  

เปิดเบื้องลึก 'อีวีจีน' รุกหนักอาเซียน ทำสงครามราคา-ตั้งฐานผลิตในไทย ชิงส่วนแบ่งค่ายรถญี่ปุ่น แต่ยังโกยกำไรมากกว่าการขายในบ้านเกิด 

ภูมิภาค “อาเซียน” กลายเป็นภูมิภาคที่อ้าแขนรับการมาของผู้ผลิตรถยนต์จาก "จีน" ที่เข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดในต่างประเทศด้วยข้อเสนอด้าน “ราคา” ที่น่าดึงดูดใจ หลังจากตลาดในประเทศมีการแข่งขันสูง และมีกำลังการผลิตล้นความต้องการในประเทศ

ลิซ ลี จากบริษัทที่ปรึกษา Counterpoint Research เผยว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้เติบโตขึ้น 79% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการที่แบรนด์จีนได้เข้ามาเพิ่มกำลังการผลิต และตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในท้องถิ่น พร้อมกับนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่มี “ราคาเข้าถึงง่าย” และยอดขายของแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง VinFast ในเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งผู้ผลิตรถยนต์จีนยังได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลหลายประเทศในอาเซียนที่ได้ประกาศมาตรการจูงใจสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

เปิดเบื้องลึก 'อีวีจีน' รุกหนักอาเซียน ตั้งราคาได้ กำไรดี แม้ทำ 'สงครามราคา'  

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ไฮบริดในอาเซียน 

การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยผู้ผลิตจีนในภูมิภาคนี้มีสัดส่วนมากกว่า 57% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นถึง 67%  จากปีก่อน โดยอภิค มุขจี นักวิเคราะห์จากบริษัท Counterpoint เผยว่า ปัจจุบันมีผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนเกือบ 18 รายที่เข้ามาทำตลาดในอาเซียน โดยมีแบรนด์ชั้นนำได้แก่ BYD, GAC Group, Chery Automobile, SAIC Group, Wuling, Changan Automobile และ Great Wall Motor

‘ไทย’ ฐานใหญ่อีวีจีนเพื่อส่งออก 

ไทยมีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้าระดับภูมิภาค โดยจังหวัดชลบุรีแทบจะกลายเป็นโกดังเก็บรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2565 เพราะอยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมชิปปิง เปิดเผยว่า การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีปริมาณสูงสุดในปี 2566 และคาดว่าจะยังคงทรงตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 และ 2568 เนื่องจากผู้ผลิตกำลังมุ่งเป้าไปที่ตลาดต่างประเทศ โดยสะท้อนจากรถยนต์จำนวนมาก รวมถึงรถยนต์ที่ผลิตในไทย ที่ถูกนำมาจอดรออยู่ในพื้นที่รอบๆ ท่าเรือแหลมฉบัง

เปิดเบื้องลึก 'อีวีจีน' รุกหนักอาเซียน ตั้งราคาได้ กำไรดี แม้ทำ 'สงครามราคา'  

นฤดม มุจจลินทร์กูล นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า บทบาทของรถยนต์ไฟฟ้าจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นประมาณ 18% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในช่วง 7 เดือนแรกของปี ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 12% จากปีก่อน

สำหรับ สิงคโปร์บีวายดี (BYD) มียอดขายสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยสามารถแซงหน้าแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้าไปได้

ส่วนในเวียดนามนั้น นับเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่แบรนด์รถอีวีท้องถิ่นอย่าง “วินฟาสต์” (VinFast) สามารถเอาชนะยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจีนได้ โดยในปี 2567 วินฟาสต์ครองตลาดด้วยยอดขายสูงถึง 87,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่าจากปีก่อนหน้า และยังคงเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ด้วยยอดขาย 67,569 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากปีก่อนหน้า

EV จีนมาพร้อม ‘สงครามราคา’ 

สำนักข่าวนิกเคอิเอเชียตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังนำกลยุทธ์ "สงครามราคา" ที่เคยใช้ในจีนมาใช้กับอาเซียนด้วย โดยการลดราคารถยนต์ลง 8-20% กลายเป็นกลยุทธ์เชิงรุกที่สร้างความกังวลต่อความยั่งยืนของธุรกิจ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

เปิดเบื้องลึก 'อีวีจีน' รุกหนักอาเซียน ตั้งราคาได้ กำไรดี แม้ทำ 'สงครามราคา'  

เดนนิส ชัวห์ ประธานสมาคมยานยนต์ไฟฟ้ามาเลเซีย กล่าวว่า “สงครามราคาไม่เป็นผลดีต่อใครเลย ทั้งผู้ผลิต ผู้ซื้อ และผู้ขาย เพราะการลดราคาอย่างรุนแรงจะบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ เนื่องจากมูลค่าของรถยนต์จะลดลงอย่างรวดเร็ว”

ชัวห์ ตั้งคำถามถึงอนาคตของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าบางรายว่าจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่หากไม่สามารถทำกำไรได้ภายใน 5 ปี และหากบริษัทเหล่านั้นต้องปิดตัวไป บริการหลังการขายจะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี นฤดม มองว่าความรุนแรงของสงครามราคาเริ่มลดลง  ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทต่างๆ ได้พบจุดที่เหมาะสมแล้ว และรถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวก็มีราคาที่สอดคล้องกับตลาดมากขึ้น

เบื้องหลัง ‘อีวีจีน’ แห่ตั้งฐานผลิตในไทย

ก่อนที่สงครามราคาจะกระจายมาสู่ตลาดอาเซียน สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (CPCA) เผยว่าผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศมีการลดราคาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ราคาเฉลี่ยของรถยนต์ลดลงถึงประมาณ 3,200 ดอลลาร์ หรือ 12% จากราคาเดิม  

เรื่องนี้ทำให้ผู้ผลิตหลายรายหันมาให้ความสำคัญกับการส่งออกมากขึ้น เพราะบริษัทรถยนต์จีนสามารถขายรถในตลาดต่างประเทศได้ในราคาที่สูงกว่า และมีอัตรากำไรที่มากกว่าในจีนเช่น รถยนต์รุ่น BYD Seal 05 ที่มีราคาขายในต่างประเทศสูงกว่าในจีนถึง 50% 

เปิดเบื้องลึก 'อีวีจีน' รุกหนักอาเซียน ตั้งราคาได้ กำไรดี แม้ทำ 'สงครามราคา'   ข้อมูลการส่งออกยานยนต์ของ 10 ผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีน

จึงไม่น่าแปลกใจที่ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 จีนส่งออกรถยนต์ไปต่างประเทศถึง 3.68 ล้านคัน โดย 1 ใน 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า และมีการเติบโตสูงถึง 84.6% จากปีก่อน  

หลังจากนี้การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอาเซียนจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากแบรนด์จีนหลายแบรนด์กำลังเข้ามาตั้งฐานการผลิตในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะใน “ไทย และอินโดนีเซีย” ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา และเทคโนโลยีที่เข้มข้นขึ้นในตลาดตามมาในอนาคต

ขณะนี้ บีวายดี มีแผนส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงงานในระยองไปยังยุโรปภายในสิ้นเดือนนี้ พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในอินโดนีเซีย ส่วนฉางอัน และจีเอซี มอเตอร์ (GAC Motor) ได้เริ่มเดินสายการผลิตในไทยแล้ว และเอสเอไอซี-จีเอ็ม-วู่หลิง (SAIC-GM-Wuling) ก็ได้เข้ามาตั้งโรงงานในอินโดนีเซีย และมาเลเซียแล้วเช่นกัน

รถยนต์ 'ญี่ปุ่น' เสียส่วนแบ่งตลาด 

ขณะนี้ผู้ผลิตจีนกำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่เคยเป็นผู้นำตลาดอาเซียนมายาวนาน ด้วยราคาที่แข่งขันได้ และฟีเจอร์ที่ล้ำสมัย ทำให้อิทธิพลของผู้ผลิตญี่ปุ่นในอาเซียนลดลงอย่างต่อเนื่อง 

เปิดเบื้องลึก 'อีวีจีน' รุกหนักอาเซียน ตั้งราคาได้ กำไรดี แม้ทำ 'สงครามราคา'   ส่วนแบ่งการตลาดของผู้ผลิตยานยนต์ในกลุ่มประเทศอาเซียน ระหว่างปี 2567 และ 2568

PwC รายงานว่าส่วนแบ่งตลาดใน 6 ประเทศหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ไทย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์) ลดลงเหลือ 63.9% ในปี 2567 จาก 68.2% ในปี 2566   และแบรนด์ญี่ปุ่นเคยครองตลาดในไทยและอินโดนีเซียมากกว่า 90%

เพื่อรับมือกับการรุกตลาดของจีน แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นกำลังปรับกลยุทธ์ โดยหันไปให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์ไฮบริด และมีการปรับลดราคาลงมากขึ้น พร้อมลดขนาดการดำเนินงานในไทย เช่น ฮอนด้า มอเตอร์ ประกาศยุติการผลิตที่โรงงานในอยุธยาในปีนี้ และจะรวมกำลังการผลิตไปไว้ที่โรงงานปราจีนบุรีแทน 

ด้าน ซูซูกิ มอเตอร์ ก็ประกาศปิดโรงงานประกอบรถยนต์ภายในปี 2568 เนื่องจากยอดขายที่ซบเซา และนิสสันได้ประกาศแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูกิจการของบริษัทที่กำลังขาดทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผลิตในไทย

ทั้งนี้ ยูจีน เซียว หัวหน้านักวิเคราะห์ของแมคควอรี แคปิตอล ในจีนมองว่าผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นยังคงมี “ข้อได้เปรียบ” ที่ค่ายรถจีนยังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้คือ เครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่ง และบริการหลังการขายที่เป็นที่ยอมรับ

 เซียวมองว่า “การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ยังอยู่ในช่วง “เริ่มต้น” และโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน โดยผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจีนในช่วงแรก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหัวก้าวหน้าที่สนใจในฟีเจอร์ และเทคโนโลยีล้ำสมัย มากกว่าจะเป็นผู้บริโภคทั่วไปที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้ามาแทนรถยนต์ญี่ปุ่นเครื่องยนต์สันดาปที่เน้นการใช้งานในชีวิตประจำวัน”

อนาคต EV จีนใครจะเป็นผู้รอด

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อลิกซ์พาร์ทเนอร์ส บริษัทที่ปรึกษาคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนจะครองส่วนแบ่งการขายรถยนต์ทั่วโลกถึง 30% โดยการเติบโตหลักจะมาจากตลาดเกิดใหม่อย่างอาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้

ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนจะเติบโตขึ้นพร้อมกับการแข่งขันที่ดุเดือด จนทำให้เกิดการ "รวมตัว" ของผู้เล่นในตลาด ซึ่งแบรนด์ที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด โดยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเหลือผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนเพียง 15 แบรนด์จากทั้งหมด 129 แบรนด์ 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “เนต้า” (Neta) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก โดยได้ลดจำนวนโชว์รูม และศูนย์บริการในไทยซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดลงจากกว่า 10 แห่ง เหลือเพียง 3 แห่งเท่านั้น

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์