ซอฟต์แบงก์ทุ่ม 65,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น ‘อินเทล’ ลุ้นบริษัทคัมแบ็คเป็นผู้นำ

‘ซอฟต์แบงก์’ ทุ่ม 65,000 ล้านบาทเข้าถือ ‘หุ้น Intel’ จุดกระแสความร่วมมือครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมชิปโลก ขณะที่อินเทลเร่งกู้ศักดิ์ศรีผู้นำเทคฯ ด้วยแรงหนุนจากรัฐบาลทรัมป์ ที่อาจเข้าถือหุ้นถึง 10% พลิกสหรัฐให้เป็น ‘ผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุด’ ของบริษัทยักษ์ชิปอเมริกันนี้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “ซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป” (SoftBank Group) บริษัทโฮลดิ้งเพื่อการลงทุน ตกลงเข้าซื้อหุ้นชิป “Intel” มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 65,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นดีลที่สร้างความประหลาดใจ โดยจะช่วยพยุงบริษัท Intel ที่กำลังเผชิญปัญหา
ทั้งนี้ บริษัทโฮลดิ้งญี่ปุ่นรายนี้ จะจ่ายในราคา 23 ดอลลาร์ต่อหุ้น ต่ำกว่าราคาปิดล่าสุดของอินเทลเล็กน้อย โดยหลังข่าวนี้ออกมา หุ้นของ Intel ก็พุ่งขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ ขณะที่หุ้น SoftBank ในโตเกียว ร่วงลงมากสุดถึง 5%
ซอฟต์แบงก์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Arm Holdings บริษัทผู้ออกแบบชิปให้สมาร์ทโฟน พยายามมาหลายทศวรรษในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักในด้าน AI
ความทะเยอทะยานนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นในปีนี้ เมื่อมีการประกาศ “โครงการ Stargate” มูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์ ร่วมกับ OpenAI, Oracle Corp. และกองทุน MGX จากอาบูดาบี เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในสหรัฐ
ด้านอินเทลตั้งเป้าที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า สามารถกลับมาเป็น “ผู้นำด้านเทคโนโลยี” ได้อีกครั้ง หลังจากที่ตามหลัง TSMC ในการผลิตชิป และตามหลัง Nvidia ในการออกแบบชิป โดยซีอีโอลิป-บู ตันแห่ง Intel ได้พบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อปูทางไปสู่การหารือแนวทางช่วยเหลืออินเทล
Intel ได้เจรจากับรัฐบาลทรัมป์เกี่ยวกับดีล ที่อาจทำให้สหรัฐกลายเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุด โดยเจ้าหน้าที่ได้หารือถึงความเป็นไปได้ที่จะเข้าถือหุ้นราว 10% ในผู้ผลิตชิปรายนี้
ที่ผ่านมา ซอฟต์แบงก์กำลังขยายฐานในสหรัฐอย่างต่อเนื่อง รวมถึงข้อตกลงล่าสุดในการเข้าซื้อโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ Foxconn Technology Group ในรัฐโอไฮโอ ก้าวสำคัญที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ Stargate
“ตลอดเวลากว่า 50 ปี อินเทลเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่น่าเชื่อถือ” มาซาโยชิ ซัน ผู้ก่อตั้ง Softbank กล่าวในแถลงการณ์ “การลงทุนเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของเราว่า การผลิตและอุปทานเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง จะขยายตัวมากขึ้นในสหรัฐ โดยมีอินเทลเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ”
ช่วงเวลาของการประกาศครั้งนี้ ยังอาจเป็นแรงหนุนต่อรัฐบาลญี่ปุ่น ที่กำลังกดดันให้สหรัฐปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น แลกกับการจัดตั้งกองทุนมูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อการลงทุนในสหรัฐ
สำหรับการลงทุนใน Intel รัฐบาลทรัมป์กำลังอยู่ระหว่างการหารือเพื่อเข้าถือหุ้นราว 10% ในบริษัท อินเทล ซึ่งหากเป็นจริง จะทำให้สหรัฐกลายเป็น “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด” ของผู้ผลิตชิปรายนี้ที่กำลังเผชิญปัญหา
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลกลางกำลังพิจารณาการลงทุนในอินเทล ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนเงินอุดหนุนบางส่วนหรือทั้งหมดที่บริษัทได้รับจากกฎหมาย Chips and Science Act ของสหรัฐ ให้กลายเป็นหุ้น ตามข้อมูลจากบุคคลที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ โดยอินเทลมีกำหนดจะได้รับเงินอุดหนุนรวม 10,900 ล้านดอลลาร์จากกฎหมาย Chips Act สำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์และการผลิตเพื่อการทหาร
อ้างอิง: bloomberg, bloomberg(2)







