เปิดใจ‘เบสเซนต์’ มองอนาคตภาษีทรัมป์-นโยบายดอลลาร์

เปิดใจ‘เบสเซนต์’ มองอนาคตภาษีทรัมป์-นโยบายดอลลาร์

ภาษีศุลกากรตอบโต้ที่สหรัฐเก็บจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. อนาคตนับจากนี้จะเป็นอย่างไร คนที่ให้คำตอบได้ดีนอกจากประธานาธิบดีแล้วคงหนีไม่พ้นขุนคลัง

KEY

POINTS

  • สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เผยว่าเป้าหมายหลักของภาษีศุลกากรคือเพื่อปรับสมดุลการค้า
  • เขาเปรียบเปรยว่าภาษีเป็นเหมือน "ก้อนน้ำแข็งที่กำลังละลาย" ซึ่งอาจลดลงได้หากดุลการค้าปรับตัวดีขึ้น
  • รัฐบาลทรัมป์ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการเจรจานโยบายต่างประเทศ เช่น การกดดันให้อินเดียหยุดซื้อน้ำมันรัสเซีย และเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ภาษีศุลกากรตอบโต้ที่สหรัฐเก็บจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. อนาคตนับจากนี้จะเป็นอย่างไร คนที่ให้คำตอบได้ดีนอกจากประธานาธิบดีแล้วคงหนีไม่พ้นขุนคลัง

สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ให้สัมภาษณ์นิกเคอิเอเชียที่กระทรวงในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) วันที่ภาษีมีผลบังคับใช้ เขามองว่าภาษีน่าจะลดลงหากดุลการค้าปรับตัวดีขึ้น

“เมื่อเวลาผ่านไปภาษีควรจะเป็นก้อนน้ำแข็งที่กำลังละลาย” เบสเซนต์ หัวหน้าคณะเจรจาการค้าสหรัฐกล่าวกับนิกเคอิเอเชีย กระทรวงการคลังเผยว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อต่างประเทศ

จากการประเมินของมหาวิทยาลัยเยล อัตราภาษีใหม่เช่น เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นเพิ่มจาก 10% เป็น 15% เฉลี่ยแล้วสหรัฐเก็บจากคู่ค้าในอัตรา 18.6% สูงที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

ขุนคลังอธิบายว่า วัตถุประสงค์หลักในการใช้ภาษีของรัฐบาลทรัมป์คือ “เพื่อปรับสมดุล” การขาดดุลบัญชีในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อปี 2024 อยู่ที่ 1.18 ล้านล้านดอลลาร์ มากที่สุดในบรรดาประเทศใหญ่ทั้งหลาย การขาดดุลมากระดับนี้อาจนำไปสู่วิกฤติการเงินได้

อย่างไรก็ตาม การที่เขาเปรียบเปรยว่า ภาษีศุลกากรตอบโต้คือ “ก้อนน้ำแข็งที่กำลังละลาย” ส่งสัญญาณว่าภาษีอาจลดลงหรือยกเลิกได้

“ถ้าการผลิตกลับคืนสู่สหรัฐ เมื่อนั้นเราก็นำเข้าน้อยลง เราก็ปรับสมดุลได้” เบสเซนต์กล่าวโดยยกตัวอย่างเงื่อนไขของการลดภาษีลงในที่สุด

สำหรับการเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่กับประเทศที่ยังไม่บรรลุข้อตกลงการค้า

“ผมคิดว่า ส่วนใหญ่แล้วเราน่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือน ต.ค.” เบสเซนต์กล่าว

ทั้งนี้ การเจรจากับจีนสำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลวอชิงตัน เบสเซนต์เล่าว่า การรับมือกับจีนนั้น “ยาก” เพราะ “จีนไม่ใช่เศรษฐกิจระบบตลาด เขตเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ระบบตลาดมีเป้าหมายแตกต่างกัน”

รัฐมนตรีคลังสหรัฐแสดงท่าทีระมัดระวังอย่างมากต่อผลผลิตล้นเกินของจีนแล้วส่งสินค้าจำนวนมหาศาลออกไปในราคาถูกสุดๆ

“เราคิดว่าการผลิตจำนวนมากต่ำกว่าต้นทุน มันเป็นโครงการจ้างงาน พวกเขามีเป้าหมายเรื่องการจ้างงาน มีเป้าหมายเรื่องการผลิตมากกว่าเป้าหมายด้านผลกำไร”

นิกเคอิเอเชีย รายงานว่า ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลทรัมป์ยังใช้ภาษีกดดันรัสเซียเรื่องสงครามในยูเครนมากขึ้นด้วย ที่ชัดเจนที่สุดคือใช้ขู่อินเดียด้วยการเก็บภาษีเพิ่มอีก 25% โทษฐานยังคงซื้อน้ำมันรัสเซียต่อไป ทำให้อินเดียเจอภาษีรวมเป็น 50% ซึ่งเบสเซนต์กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายภาษีเป็นหนทางเพิ่มรายได้จากภาษี, ปกป้องอุตสาหกรรมสหรัฐ และทรัมป์ใช้เพื่อ “การเจรจานโยบายต่างประเทศ” ด้วย

“อย่างตอนนี้ เขาบอกว่า เขาต้องการให้อินเดียหยุดซื้อน้ำมันรัสเซีย” เบสเซนต์ยกตัวอย่าง

สำหรับญี่ปุ่น หลังการเจรจารัฐบาลโตเกียวยอมรับอัตราภาษี 15% ให้คำมั่นตั้งแพ็กเกจสินเชื่อและลงทุน5.5 แสนล้านดอลลาร์  หลังจากสหรัฐขาดดุลการค้าญี่ปุ่นถึง 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์ เบสเซนต์เรียกข้อตกลงกับญี่ปุ่นว่า “ร่างทองพันธมิตรอุตสาหกรรม”

“รัฐบาล (ญี่ปุ่น) ยื่นข้อเสนอดีมาก และผมคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราจะบรรลุสมดุล ผมไม่ทราบว่าจะเกิดขึ้นภายในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์หรือไม่ แต่ผมบอกได้เลยว่า มันจะก้าวหน้าไปมาก”

“บางทีในญี่ปุ่นเอง คุณจะเริ่มบริโภคมากขึ้น เริ่มผลิตมากขึ้น” เบสเซนต์กล่าวพร้อมเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนนโยบายขยายการบริโภคภายในแทนที่จะพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงในส่วนลดภาษีรถยนต์ญี่ปุ่นจาก 27.5% เหลือ 15% ซึ่งสำคัญมากสำหรับรัฐบาลโตเกียว กลับถูกเลื่อนออกไป

ส่วนข้อตกลงกับสหราชอาณาจักร ขุนคลังสหรัฐระบุ

“ใช้เวลาราว 50 วัน เราก็ได้ข้อตกลง เป็นข้อตกลงเดียวที่มี อันอื่นอาจใช้เวลามากน้อยกว่านั้นนิดหน่อย”

ทั้งนี้ ภาษีรถยนต์นำเข้าจากสหราชอาณาจักรลดจาก 27.5% เหลือ 10% ใช้เวลา 53 วันหลังทำข้อตกลงกันได้ในวันที่ 8 พ.ค. ก่อนภาษีอัตราใหม่มีผลบังคับใช้

ขณะที่ญี่ปุุ่นกับสหรัฐประกาศข้อตกลงการค้ากันในวันที่ 22 ก.ค. ตามเวลาฝั่งตะวันออก หมายความว่าการลดภาษีรถยนต์ญี่ปุ่นจะเกิดขึ้นกลางเดือน ก.ย.

เบสเซนต์เคยให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ครั้งหนึ่งว่า สหรัฐจะประเมินและตรวจสอบความก้าวหน้าของข้อตกลงการค้าเป็นรายไตรมาส เขาไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้กับนิกเคอิ

“ผมไม่รู้ว่าเราจะทบทวนเป็นรายไตรมาส, รายครึ่งปี หรือรายปี เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกคนทำตามข้อตกลง”

เปิดใจ‘เบสเซนต์’ มองอนาคตภาษีทรัมป์-นโยบายดอลลาร์

จับตาใครมาแทนพาวเวลล์

ในด้านตลาดเงิน กำลังเป็นที่จับตามองกันมากว่าใครจะมาแทนที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ผู้จะหมดวาระในเดือน พ.ค.ปีหน้า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มกระบวนการสรรหาประธานเฟดคนใหม่แล้ว หลายคนคาดว่าเบสเซนต์จะเป็นผู้นำกระบวนการ

เมื่อถูกถามถึงคุณสมบัติที่ประธานเฟดคนใหม่ควรมี เบสเซนต์อ้างถึงหลายปัจจัย

“ต้องเป็นคนที่ตลาดเชื่อมั่น มีความสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจซับซ้อนได้ มีเสียงโหวต 12 เสียง ดังนั้นประธานเฟดต้องจัดการให้ได้แล้วสร้างฉันทามติ และต้องเป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้า แทนที่จะพึ่งพาแต่ข้อมูลในอดีต”

เบสเซนต์ยังแสดงความกังวลถึงสภาวะแวดล้อมรอบเฟดด้วย

“สิ่งที่ผมกังวลคือความเป็นอิสระทางการเงิน เรื่องนี้สำคัญมากต่อการทำหน้าที่ทางเศรษฐกิจอย่างราบรื่น ต่อเงินเฟ้อเป้าหมาย ผมกังวลว่า เฟดกำลังทำหลายเรื่องจนทำให้อิสระทางการเงินตกอยู่ในความเสี่ยง”

“ดังนั้น ผมคิดว่าประธานเฟดคนต่อไปจำเป็นต้องเป็นคนที่สามารถตรวจสอบองค์กรทั้งหมดได้” เบสเซนต์กล่าวพร้อมยืนยันว่าเฟดยังเป็นองค์กรอิสระแม้เมื่อเร็วๆ นี้พาวเวลล์จะถูกประธานาธิบดีวิจารณ์

“ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความคิดเห็นของเขา ส.ว. (เอลิซาเบธ) วอร์เรน แสดงความคิดเห็นของเธอ แต่สุดท้ายแล้วเฟดยังเป็นอิสระ”

ในแง่เงินดอลลาร์ เขาเผยถึงนิยาม “ดอลลาร์แข็ง” ว่า

“ดอลลาร์แข็งไม่ใช่ราคาที่ขึ้นบนจอ ราคาบนจอกำหนดโดยตลาด และเป็นราคาที่เทียบกับเงินสกุลอื่น”

“นโยบายดอลลาร์แข็งคือการมีนโยบายที่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินสำรองต่อไป และเรามีนโยบายเศรษฐกิจที่ดี ดังนั้นดอลลาร์จึงแข็งโดยธรรมชาติ” เบสเซนต์กล่าว ความเห็นเกี่ยวกับสกุลเงินของเขาถูกนักลงทุนจับตาอย่างใกล้ชิด

ส่วนมาตรการที่จะคงดอลลาร์แข็งไว้ได้ต่อไป รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า จำเป็นต้องปรับสภาพแวดล้อมการลงทุน

“ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เราขาดดุลการค้า เงินจึงกลับมาในตลาดเงิน ส่วนใหญ่เป็นการซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้น หรือหุ้นเจ็ดนางฟ้า” เบสเซนต์กล่าวโดยหมายถึงหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ

“ตอนนี้ สิ่งที่เราพยายามทำคือมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากขึ้น และทำให้สหรัฐเป็นปลายทางที่น่าลงทุนต่อไป ไม่เพียงแค่ในพอร์ตเงินทุน แต่ต้องย้ายฐานการผลิตด้วย” รัฐมนตรีคลังสหรัฐกล่าวทิ้งท้าย