ขัดแย้ง ‘กัมพูชา-ไทย’ เปิดโอกาส ‘ทรัมป์’ รุกถิ่นจีน

คำขู่เก็บภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อประเทศไทย และกัมพูชาที่ผลักดันให้สองประเทศ สามารถยุติการปะทะในชายแดนได้ในสัปดาห์นี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการใช้สงครามการค้ายับยั้งความขัดแย้งทางอาวุธ และแย่งชิงบทบาทของจีนในถิ่นจีนเอง
KEY
POINTS
- ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้คำขู่เรื่องการขึ้นภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองที่ทรงพลัง กดดันให้ไทย และกัมพูชา ยุติการสู้รบชายแดน ซึ่งเป็นการแสดงบทบาทโดยตรงในภูมิภาคที่จีนมีอิทธิพลสูง
- ในการเจรจาไกล่เกลี่ย สหรัฐมีบทบาทที่โดดเด่น และแข็งกร้าวผ่านการคุกคามทางเศรษฐกิจ ซึ่งแตกต่างจากจีนที่ยึดหลักไม่แทรกแซง และมีบทบาทน้อยกว่ามาก
- แม้จีนจะเป็นคู่ค้ารายใหญ่ และผู้ลงทุนหลักในโครงสร้างพื้นฐานของทั้งสองประเทศ แต่ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นว่าอำนาจต่อรองจากการเข้าถึงตลาดสหรัฐ สามารถท้าทายอิทธิพลของจีนได้
- ความสำเร็จในการหยุดยิงถูกมองว่าเป็นชัยชนะของทรัมป์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ "ผู้สร้างสันติภาพ" และแย่งชิงบทบาทของสหรัฐ กลับคืนมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งถือเป็นเขตอิทธิพลของจีน
บลูมเบิร์กรายงานว่า ก่อนที่ผู้นำกัมพูชา และไทย จะจับมือกันในงานแถลงข่าวบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในวันจันทร์ (28 ก.ค.68) เพื่อยุติการสู้รบที่มีมานาน 5 วัน จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 42 ราย ทั้ง ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย ได้กล่าวขอบคุณทรัมป์ ในแถลงการณ์ด้วย
ประธานาธิบดีทรัมป์ นำเครื่องมือต่อรองที่ทรงพลังที่สุดมาใช้สองสามวันก่อนที่กัมพูชา-ไทย จะบรรลุข้อตกลงหยุด โดยเสนอเรื่องการเข้าถึงตลาดสหรัฐเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบ และเพื่อช่วยหนุนความพยายามของเขาให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้สร้างสันติภาพ
ในการเจรจาระหว่างกัมพูชา และไทย ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย และประธานหมุนเวียนอาเซียนเป็นคนกลาง สหรัฐ และจีนได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมการหารือด้วย นั่นคือ เอกอัครราชทูตสหรัฐ และเอกอัครราชทูตจีนประจำมาเลเซีย บลูมเบิร์ก ระบุว่า แม้จีนส่งผู้แทนเข้าร่วม แต่ถือว่ายังคงมีบทบาทน้อยกว่าสหรัฐมาก และไม่ได้เสนอเงื่อนไขคุกคามทางเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกับสหรัฐ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจีนจะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงความขัดแย้ง และจะเลือกใช้ความพยายามอำนวยความสะดวกในการหารือมากกว่า
ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับบลูมเบิร์ก “ทรัมป์จะมองว่านี่คือชัยชนะ เขาต้องการได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้สร้างสันติภาพ” พร้อมเสริม “ความจริงที่จีนเข้ามามีส่วนร่วมถือเป็นเรื่องดี เพราะการมีส่วนร่วมของทั้งสหรัฐ และจีน ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดของโลก ช่วยให้เกิดความสมดุล ชอบธรรม และเป็นการสนับสนุนที่จับต้องได้”
ข้อตกลงหยุดยิงที่บรรลุในวันจันทร์ ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของเหตุการณ์ในวันเสาร์ (26 ก.ค.68) ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้พูดคุยกับผู้นำกัมพูชา และไทย และจากนั้นโพสต์ในทรูธโซเชียลว่า ผู้เจรจาของสหรัฐไม่ต้องการทำข้อตกลงใดๆ กับทั้งสองฝ่าย หากยังคงสู้รบกันอยู่
การเดิมพันของสองประเทศสูงมาก เนื่องจากทั้งกัมพูชา และไทยกำลังเผชิญกับอัตราภาษีทรัมป์ 36% ในวันที่ 1 ส.ค.68 นี้ ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกที่เป็นเพื่อนบ้านอาเซียนอย่าง อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐแล้ว โดยสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสองประเทศนี้ในอัตรา 19% และเวียดนามที่บรรลุดีลการค้ากับสหรัฐก่อนหน้านั้นเผชิญภาษีทรัมป์ในอัตรา 20%
ทรัมป์กล่าว ในวันจันทร์ ว่า สหรัฐจะกลับมาหารือการค้ากับกัมพูชา และไทยอีกครั้ง ขณะที่ภูมิธรรม รักษาการนายกฯ ไทย เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนได้พูดคุยกับผู้นำสหรัฐแล้ว และบอกว่า “เราจะได้ประโยชน์อย่างมากจากเรื่องนี้ เขาจะทำให้ดีที่สุดที่เขาจะทำได้ และดูแลได้”
ด้านทรัมป์โพสต์หลังจากกัมพูชา และไทยบรรลุข้อตกลงหยุดยิงว่า “ผมภูมิใจที่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ!”
‘สหรัฐ-จีน’ ใช้แนวทางที่แตกต่าง
การตอบสนองต่อความขัดแย้งระหว่างกัมพูชา และไทยของประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ตอกย้ำให้เห็นถึงแนวทางที่แตกต่างในการมีส่วนร่วมกับโลกของสองมหาอำนาจ
ทรัมป์ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการค้าใหม่ และขู่ว่าจะตัดขาดการเข้าถึงตลาดผู้บริโภคที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเพื่อใช้เป็นข้อต่อรอง นอกจากนี้ ทรัมป์อ้างด้วยว่าได้ใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันนี้เพื่อยับยั้งการสู้รบระหว่างอินเดีย และปากีสถานก่อนหน้านี้
“กลยุทธ์ภาษีเพื่อสันติภาพ” สร้างขึ้นมาจากความพยายามของทำเนียบขาวในการใช้ประโยชน์จากภาษีเพื่อเป้าหมายทางภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น ช่วงต้นเดือนก.ค. ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากบราซิล 50% และเรียกร้องให้ทางการท้องถิ่นถอนข้อกล่าวหาต่อ ฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีบราซิล ที่ถูกกล่าวหาว่าพยายามก่อรัฐประหาร
ส่วนหลักการไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการประเทศอื่นของจีน ทำให้จีนไม่เข้าไปพัวพันกับกิจการของประเทศอื่นมานานแล้ว และทำให้ปักกิ่งสามารถแยกตัวจากวอชิงตันในประเทศโลกใต้ได้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่จีนรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ด้วยการเสนอเงินกู้และการพัฒนาเป็นหลัก และละเว้นการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในกลุ่มประเทศดังกล่าว
ทัง เสี่ยวยัง หัวหน้าภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยชิงหวา กล่าว “จีนหวังไกล่เกลี่ยผ่านองค์กรระดับภูมิภาค ต่างจากประเทศนอกภูมิภาคที่ต้องใช้อำนาจแทรกแซงโดยตรง ตามที่ทรัมป์ทำ ซึ่งนั่นไม่สอดคล้องกับแนวทางการทูตของจีน”
หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ใช้โอกาสจากความขัดแย้งกัมพูชา-ไทย หยิบยกประเด็นที่คับข้องใจมานานกว่าศตวรรษตั้งแต่สมัยจักรวรรดินิยมอังกฤษ และฝรั่งเศส โดยกล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อน “รากเหง้าของปัญหานี้คือ มรดกตกทอดมาจากผู้ล่าอาณานิคมตะวันตกในอดีต และตอนนี้เราต้องเผชิญกับมันอย่างใจเย็น และรับมืออย่างเหมาะสม”
บลูมเบิร์ก ระบุว่า ความตึงเครียดระหว่างไทย และกัมพูชา สืบเนื่องมาจากแผนที่กำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสในช่วงต้นทศวรรษ 1900 ซึ่งขณะนั้นกัมพูชาเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศส และเรื่องอำนาจอธิปไตยยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในพื้นที่ชายแดนในปัจจุบัน รวมถึงวัดโบราณจำนวนหนึ่งตามแนวชายแดน
ทั้งนี้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้พยายามสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงกับจีน และสหรัฐมาอย่างยาวนาน ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความเป็นอิสระของภูมิภาคผ่านอาเซียน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนมีอิทธิพลมากขึ้นในกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่เสี่ยงเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจมากที่สุดจากความขัดแย้งในครั้งนี้
ภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบ และเส้นทางที่เป็นโครงการเรือธงของประธานาธิบดีสี บริษัทจีนได้ช่วยสนับสนุนด้านการเงิน สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิต และโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ในกัมพูชา รวมถึงสนามบินแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ และเสียมราฐ และทางด่วนสายแรกของประเทศที่เชื่อมระหว่างเมืองหลวงกับเมืองท่าสีหนุวิลล์ และในระหว่างที่สี จิ้นผิง เยือนกัมพูชาเมื่อเดือนเม.ย. ทั้งสองประเทศตกลงเดินหน้าโครงการขุดคลองฟูนันเตโช มูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเชื่อมโยงฮับการผลิตของกัมพูชากับอ่าวไทย
ทรัมป์สร้างซอฟต์พาวเวอร์ให้จีนมากขึ้นเมื่อเขาตัดสินใจยุบหน่วยงานพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (ยูเอสเอไอดี) สองโครงการในกัมพูชามุ่งเน้นการอ่านออกเขียนได้ของเด็ก และโภชนาการถูกยกเลิกในเดือนก.พ. รัฐบาลปักกิ่งจึงส่งโครงการแบบเดียวกันมาแทนทันที
จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดของทั้งไทย และกัมพูชา คิดเป็นกว่า 20% ของการค้ารวมในแต่ละประเทศ สหรัฐมาเป็นที่ 2 คิดเป็นราว 13% ของไทย และ 19% ของกัมพูชา ทั้งสองประเทศได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ ไทยเกินดุล 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ กัมพูชาเกินดุล 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งทรัมป์อยากปรับความสัมพันธ์ทางการค้าแบบนี้โดยไม่คำนึงว่าทั้งสองประเทศต้องการสินค้าอเมริกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







