‘จีน’ ฝ่ากำแพง AI สหรัฐ สร้างพันธมิตรแบบ ‘รวมชาติ’ ชูโมเดลโอเพนซอร์สสู้

ในสมรภูมิ AI สงครามไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการชิงอนาคตของ ‘อำนาจนำระดับโลก’ จีนกำลังสร้างพันธมิตรเทคโนโลยีแบบ ‘รวมชาติ’ ขณะที่อเมริกาใช้นโยบาย ‘คว่ำบาตร’ เป็นเกราะสกัดขาจีน ท่ามกลางความเสี่ยงสู่โลก ที่มนุษย์อาจไม่ใช่ผู้ควบคุมหลักอีกต่อไป
ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐที่จำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง ในระดับที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่งประกาศ “AI Action Plan” ออกมา เหล่าบริษัทปัญญาประดิษฐ์จีนจึงเร่งแก้เกม ด้วยการรวมพลังตั้ง “พันธมิตรอุตสาหกรรม” ขึ้น เพื่อสร้าง “ระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ในประเทศ” ลดการพึ่งพาชิปและเทคโนโลยีต่างชาติ โดยใช้โอกาสในงานประชุม World Artificial Intelligence Conference ที่เซี่ยงไฮ้ เป็นเวทีเปิดตัวความร่วมมือและผลิตภัณฑ์ใหม่
หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือ การประกาศตั้ง “สองพันธมิตรแห่งอุตสาหกรรม AI” เพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ ได้แก่
1. “พันธมิตรนวัตกรรมระบบนิเวศชิป-โมเดล” (Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance) เป็นความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) และผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน เช่น Huawei, Biren, Moore Threads มุ่งเน้นการผสานฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการพึ่งพาชิปจากตะวันตก
2. “คณะกรรมการ AI หอการค้าเซี่ยงไฮ้” (Shanghai General Chamber of Commerce AI Committee) พุ่งเป้าไปที่การประยุกต์ใช้ AI กับการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม โดยผู้เข้าร่วมประกอบด้วยบริษัท SenseTime ซึ่งถูกสหรัฐคว่ำบาตร และได้เปลี่ยนจุดเน้นจากเทคโนโลยีจดจำใบหน้า มาสู่โมเดลภาษาใหญ่ รวมถึงยังมีผู้พัฒนา LLM รายอื่นอย่าง MiniMax และผู้ผลิตชิปอย่าง Metax และ Iluvatar CoreX
การรวมกลุ่มเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ สะท้อนการปรับตัวเชิงรุกของภาคเอกชนจีนต่อข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
โชว์พลังฮาร์ดแวร์แข่ง Nvidia
ในฝั่งฮาร์ดแวร์ บริษัทจีนหลายแห่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตั้งใจออกแบบมา “เทียบชั้น” กับของ Nvidia โดยเฉพาะในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์และการประมวลผล AI ดังนี้
- “Huawei” เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ซึ่งรวมชิป 910C รุ่นล่าสุดของบริษัทจำนวน 384 ตัวไว้ภายใน โดยเผยว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า GB200 NVL72 ของ Nvidia ในบางตัวชี้วัด ตามการประเมินของบริษัทวิจัยสัญชาติสหรัฐอย่าง SemiAnalysis
- “Metax” บริษัทพัฒนาการประมวลผลทั่วไปบนหน่วยประมวลผลกราฟิกในงาน AI ได้นำเสนอ “Supernode” สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใช้ชิป C550 จำนวน 128 ตัว ซึ่งออกแบบมาสำหรับการทำงานแบบขนานและประหยัดพลังงาน
แนวโน้มเหล่านี้ ชี้ให้เห็นความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีชิปภายในประเทศอย่างเร่งด่วน
โมเดล AI แบบเปิดกว้าง ต่างจากสหรัฐ
นอกจากฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐาน “โมเดล AI” สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของงาน โดยในขณะที่บริษัท AI สหรัฐใช้ “ระบบปิด” และยกระดับการควบคุมผู้เข้าถึง แต่รัฐบาลจีนเลือกหนุนแนวทาง “โอเพนซอร์ส” เพื่อเปิดทางให้บริษัท AI จีนอีกมากมาย สามารถนำโมเดลที่เคยสร้างมาแล้ว ไปพัฒนาต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ตัวอย่างเช่น
- Tencent เปิดตัวโมเดล Hunyuan3D เวอร์ชันโอเพนซอร์ส ที่สามารถสร้างโลกเสมือน 3 มิติจากภาพนิ่งหรือข้อความธรรมดา
- Baidu โชว์เทคโนโลยี “มนุษย์ดิจิทัล” ที่สามารถสร้างผู้ไลฟ์สดเสมือนจริงได้ โดยเทคโนโลยีนี้มีฟีเจอร์ “การโคลน” ที่สามารถจำลองเสียง น้ำเสียง และภาษากายของมนุษย์ได้จากวิดีโอตัวอย่างในเวลาเพียง 10 นาที
- Alibaba เปิดตัวแว่นตา AI รุ่น Quark ที่สั่งงานด้วยเสียง ใช้นำทาง และชำระเงินได้ในตัว เตรียมวางขายปลายปี 2025
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า เทคโนโลยี AI ของจีนไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนาเบื้องหลัง แต่กำลัง “ก้าวเข้าสู่ชีวิตประจำวัน” ของผู้คน ตั้งแต่ไลฟ์สดเสมือนจริง แว่นตาล้ำยุค ไปจนถึงโลกเสมือนจริง
ไม่เพียงเท่านั้น นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียงยังประกาศจัดตั้งองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน AI ขึ้น เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็น “เกมผูกขาดของกลุ่มประเทศหรือบริษัทบางแห่ง” และเน้นว่า จีนพร้อมแบ่งปันเทคโนโลยีกับประเทศกำลังพัฒนา
อย่างไรก็ตาม การเปิดกว้างด้านโอเพนซอร์ส ก็ตามมาด้วยการแข่งขันอย่างรุนแรง และถูกลอกเลียนแบบได้ง่ายขึ้น จนอาจทำให้จุดแข็งของบริษัทผู้บุกเบิกด้าน AI ตั้งแต่แรกเริ่มถูกบดบังหรือถูกแซงหน้าได้โดยง่าย รวมถึงอาจก่อให้เกิด “ความไร้เสถียรภาพเชิงโครงสร้าง” เมื่อจำนวนโมเดล AI ที่พัฒนาภายในประเทศทะลุเกิน 1,500 โมเดลแล้ว ขณะที่มีบริษัท AI จีนมากกว่า 5,000 แห่งในตลาด ซึ่งไม่ใช่ทุกแห่งที่จะสามารถยืนหยัดอยู่รอดได้ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า
จีน-สหรัฐเร่งแข่ง AI แบบไม่มีชะลอ สู่จุดมนุษย์คุมไม่อยู่?
แม้สหรัฐจะประกาศนโยบาย “America First” อย่างแข็งกร้าว โดยประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าจะ “ทำทุกทางเพื่อชนะการแข่งขัน AI” แต่ก็มีสัญญาณความผ่อนปรน เมื่อรัฐบาลสหรัฐยอมให้ Nvidia กลับมาขายชิป H20 ในจีน ซึ่งมีนัยถึงแรงกดดันด้านการค้าจากจีน และการล็อบบี้จากภาคธุรกิจในสหรัฐเอง
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ การพัฒนา AI กำลังกลายเป็นสนามแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง “มหาอำนาจ” ที่เดิมพันสูง ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และอิทธิพลระดับโลก จึงเกิดแรงจูงใจให้แต่ละประเทศ “เร่งพัฒนาอย่างสุดกำลัง” แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงเชิงจริยธรรม ความปลอดภัย หรือผลกระทบระยะยาวที่ยังควบคุมไม่ได้ก็ตาม
หนึ่งในนักวิจัยในฉายาเจ้าพ่อ AI อย่างโยชัว เบนจิโอ ออกมาเตือนว่า การแข่ง AI ระหว่างจีน-สหรัฐอาจนำไปสู่ “จุดที่มนุษย์ควบคุมเทคโนโลยีไม่อยู่” บรรยากาศในตอนนี้ไม่มีใครชะลอ คล้าย “สงครามอาวุธ” ในอดีต ซึ่งเมื่อเริ่มต้นแล้ว ถ้าใครหยุดก่อนก็คือผู้แพ้ อีกทั้งการออกกฎควบคุม ก็ใช้เวลานาน แต่เทคโนโลยีวิ่งเร็วมาก จึงแทบไม่มีเบรก
“ความฉลาดนำมาซึ่งอำนาจ แล้วใครกันที่จะเป็นผู้ควบคุมอำนาจนั้น?” เบนจิโอกล่าว “การมีระบบที่รู้มากกว่าคนส่วนใหญ่ อาจเป็นอันตรายหากอยู่ในมือผิด และอาจสร้างความไม่มั่นคงในระดับภูมิรัฐศาสตร์ หรือแม้แต่ก่อการร้ายได้”
“ยังมีคนบางกลุ่มที่อาจต้องการใช้พลังนั้นในทางที่ผิด และก็มีคนบางกลุ่มที่อาจดีใจหากมนุษยชาติถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร ผมหมายถึงว่าแม้มันเป็นส่วนน้อย แต่คนเหล่านี้สามารถมีอำนาจมาก และพวกเขาสามารถทำได้ ถ้าเราไม่สร้างมาตรการป้องกันที่เหมาะสมในตอนนี้” เขากล่าวย้ำ







