วิจัยฮาร์วาร์ดชี้ ‘ย่านที่เราโตมา’ ลิขิตอนาคตการเงิน มากกว่ารายได้ครอบครัวเสียอีก

วิจัยฮาร์วาร์ดชี้ ‘ย่านที่เราโตมา’ ลิขิตอนาคตการเงิน มากกว่ารายได้ครอบครัวเสียอีก

การเติบโตใน ‘ย่านที่ใช่’ อาจมีผลต่ออนาคตการเงินของเรามากกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่รายได้พ่อแม่ แต่คือสภาพแวดล้อมรอบตัว โดยเฉพาะ ‘เพื่อน’ ที่เราใช้เวลาด้วย งานวิจัยจากฮาร์วาร์ดพบว่า เด็กที่ได้คบหากับเพื่อนที่มีฐานะดีกว่า มีแนวโน้มจะก้าวข้ามข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ และมีโอกาสร่ำรวยมากขึ้นในอนาคต

ลองนึกถึงย่านที่คุณเติบโตมา ถนนสายเดิม เพื่อนบ้าน โรงเรียนใกล้บ้าน และกลุ่มเพื่อนที่เล่นด้วยกันทุกวัน สิ่งเหล่านี้อาจดูเป็นแค่ความทรงจำ แต่ในความเป็นจริง “ย่านที่เราโตมา” มีพลังมากกว่านั้น

ที่สำคัญ คือ “ที่ที่เราเติบโตมา” อาจกำหนดชะตาการเงินของเรา มากกว่ารายได้ครอบครัวเสียอีก ในงานวิจัยล่าสุดของ Opportunity Insights สถาบันวิจัยจากฮาร์วาร์ดที่วิจัยครอบคลุมกว่า 25 ล้านคนในสหรัฐชี้ว่า ที่ที่เราเติบโตมา ไม่เพียงมีอิทธิพลต่อรายได้ในอนาคตเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ “พฤติกรรมทางการเงิน” ของเราอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะ “เครดิตสกอร์” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ตัดสินโอกาสในชีวิต เช่น การซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือการขอสินเชื่อเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ

ในการเปรียบเทียบระหว่างเด็กยากจนจากเมืองบัลติมอร์ กับเด็กยากจนจากมอนต์โกเมอรีเคาน์ตี รัฐแมรีแลนด์ ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ไกล พบว่า เมื่อโตขึ้น เด็กจากมอนต์โกเมอรีมีเครดิตสกอร์เฉลี่ยสูงถึง 695 (อยู่ในระดับ Prime) ขณะที่เด็กจากบัลติมอร์อยู่ที่เพียง 640 (Nonprime) ซึ่งทำให้เข้าถึงสินเชื่อยากกว่า และเจอดอกเบี้ยแพงกว่า แม้จะมีฐานะพ่อแม่ใกล้เคียงกันก็ตาม

งานวิจัยชี้ว่า ความแตกต่างนี้ไม่ได้เกิดจากรายได้ในวัยผู้ใหญ่ แต่เกิดจาก “พฤติกรรมการใช้จ่ายและชำระหนี้” ที่ฝังรากตั้งแต่วัยเยาว์

แวดล้อมแบบไหน ก่อพฤติกรรมแบบนั้น

สิ่งที่น่าสนใจคือ พื้นที่ที่เด็กยากจนโตขึ้นมาแล้วมีเครดิตสกอร์สูง มักเป็นพื้นที่ที่คนจนกับคนรวย มีโอกาสปฏิสัมพันธ์หรือเป็นเพื่อนกันมากกว่า นี่อาจสะท้อนว่า ไม่ใช่แค่ “พ่อแม่เรา” เท่านั้นที่หล่อหลอมพฤติกรรมการเงินของเรา แต่ “สังคมของเพื่อน” และ “ครอบครัวของเพื่อน” ก็มีผลด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น เด็กที่ย้ายจากพื้นที่ที่ผู้ใหญ่มี “พฤติกรรมมักไม่ชำระหนี้” ไปยังพื้นที่ที่ผู้ใหญ่ “ชำระหนี้ตรงเวลา” ก็มีแนวโน้มจะมีเครดิตสกอร์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะหากย้ายตั้งแต่วัยเด็ก

“เด็กคือฟองน้ำ ที่ซึมซับพฤติกรรมการเงินจากคนรอบตัว ตั้งแต่พ่อแม่จนถึงครอบครัวของเพื่อนบ้าน” นี่คือบทสรุปที่ได้จากงานวิจัย Opportunity Insights ของฮาร์วาร์ด

คบเพื่อนรวย ช่วยให้รวยขึ้น?

ถ้าคุณอยากมีรายได้มากขึ้น “การมีเพื่อนที่รวยกว่าคุณ” อาจมีส่วนช่วย นั่นเพราะการมีเพื่อนที่มีฐานะดีกว่า ถือเป็นปัจจัยส่งเสริมการเลื่อนฐานะเศรษฐกิจของคุณ ตามผลการศึกษาสองชิ้นใหม่โดยราจ เช็ตตี นักเศรษฐศาสตร์จากฮาร์วาร์ด 

เช็ตตี้และทีมวิจัยได้วิเคราะห์เครือข่ายสังคมของผู้ใช้งาน Facebook จำนวน 72.2 ล้านคน
ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 25-44 ปี จากนั้นได้จัดกลุ่มเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ทุนทางสังคม” (Social Capital) โดยแบ่งวิธีวัดได้ 3 ประการ

ประการแรกคือ ระดับการเชื่อมโยงกันระหว่างคนรายได้น้อยกับคนรายได้สูง ซึ่งเรียกว่า “การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ” (Economic Connectedness)

ถัดมาคือสิ่งที่เรียกว่า “ความเหนียวแน่นทางสังคม” (Social Cohesion) ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว คือการวัดว่า กลุ่มเพื่อนของแต่ละคนมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนหรือไม่ และเพื่อนในเครือข่ายของเขาเป็นเพื่อนกันเองด้วยหรือไม่ 

ส่วนตัวที่สามคือ “การมีส่วนร่วมของพลเมือง” (Civic Engagement) ซึ่งดูว่าแต่ละคนเข้าร่วมองค์กรเพื่อสังคม เช่น กลุ่มอาสาสมัคร หรือมีความไว้วางใจในองค์กรเหล่านั้นหรือไม่

ในบรรดาวิธีวัดทุนทางสังคมทั้งสามแบบ นักวิจัยพบว่า มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เชื่อมโยงกับการเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น นั่นคือ “การสร้างมิตรภาพกับผู้คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่า”

ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยยังพบว่า ถ้าเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน ได้เติบโตในพื้นที่ที่มี “การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ” เทียบเท่ากับพื้นที่ที่เด็กมีรายได้สูงอยู่ รายได้ในอนาคตของเด็กเหล่านี้ จะ “เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 20%”

สามารถพูดง่าย ๆ คือ การเติบโตท่ามกลางเพื่อนที่มีฐานะดีกว่า อาจช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นในอนาคต

ฐานะดี แนวโน้มมีเพื่อนมากกว่ารายได้น้อย

เด็กที่โตในย่านที่คนฐานะดีกับคนฐานะไม่ดีเป็นเพื่อนกันมาก จะมีโอกาสก้าวหน้าในชีวิต (เลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจ) ได้สูงกว่า

ตัวอย่างเช่น การศึกษาได้เปรียบเทียบเมือง “มินนีแอโพลิส” กับ “อินเดียนาโปลิส”

ผลวิจัยพบว่าที่มินนีแอโพลิส คนรายได้น้อยมีเพื่อนที่เป็นคนรวยกว่าในสัดส่วนที่สูงกว่ามาก ต่างจากอินเดียนาโปลิสที่สัดส่วนนี้น้อยกว่ามาก

ความแตกต่างตรงนี้ ส่งผลให้เด็กที่มาจากครอบครัวรายได้น้อยในมินนีแอโพลิส มีรายได้สูงขึ้น เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ พอถึงอายุ 35 ปี เด็กจากมินนีแอโพลิสจะทำเงินได้เฉลี่ยประมาณ 34,300 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าเด็กจากอินเดียนาโปลิสที่ทำได้เพียง 24,700 ดอลลาร์

นั่นหมายความว่า การที่คนในชุมชนรายได้น้อยจะก้าวหน้าในชีวิต ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ว่าพวกเขาอยู่ในย่านที่รายได้น้อย แต่ยังขึ้นอยู่กับว่า พวกเขามีโอกาสได้เจอและทำความรู้จักกับคนที่มีรายได้สูงกว่ามากน้อยเพียงใด

เพื่อนพื้นเพหลากหลาย สะพานยกระดับฐานะ

ราจ เช็ตตี กล่าวว่า “การออกนโยบายที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง นโยบายรถประจำทางเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ไปโรงเรียนเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงขอบเขตโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าอย่างยิ่งในการเพิ่มความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ”

“เราคิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่แค่นั้นยังไม่พอ แม้ว่าเราจะสามารถรวมโรงเรียนทุกแห่ง ทุกละแวกบ้าน และอื่นๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เราก็ยังคงมีความไม่เชื่อมโยงทางสังคมระหว่างคนรายได้น้อย และรายได้สูง เหลืออยู่ถึงครึ่งหนึ่ง”

ดังนั้น หากการผูกมิตรกับผู้คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่า จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการเงินของคุณ หรือปูทางให้ลูกหลานมีโอกาสก้าวหน้ามากขึ้น แล้วทำไมสิ่งนี้ถึงไม่เกิดขึ้นเสมอไปล่ะ?

นักวิจัยพบว่า โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำสุด มักจะสร้างมิตรภาพจากคนใกล้ตัว ซึ่งก็คือคนที่อยู่ในละแวกบ้านเดียวกันนั่นเอง

ลองนึกภาพว่า คนที่มีฐานะดีมักจะเจอเพื่อนมากตอนเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งการเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนอเมริกันที่จนที่สุด

จริงๆ แล้ว คนรายได้น้อย (กลุ่มที่รายได้ต่ำกว่า 25% แรก) มีหนี้เรียนเฉลี่ยตั้ง 30,575 ดอลลาร์ หนี้จำนวนนี้อาจจะดูน้อยกว่าของคนรวยบางคนก็จริง แต่สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นสัดส่วนที่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับรายได้

นักวิจัยยังพบอีกว่า แม้แต่ในมหาวิทยาลัย คนอเมริกันที่มาจากครอบครัวฐานะไม่ค่อยดี ก็ยังผูกมิตรกับเพื่อนที่รวยกว่าได้ยากกว่า ซึ่งนักวิจัยเรียกสิ่งนี้ว่า “อคติในการเลือกคบเพื่อน”

ราจ เช็ตตีอธิบายว่า “อคติในการเลือกคบเพื่อน” นี้ ดูเหมือนจะถูกกำหนดโดยโครงสร้างของสถาบันต่างๆ มากกว่าแค่ความชอบส่วนบุคคล สถานที่ที่ผู้คนไปมาหาสู่กัน มีส่วนสำคัญอย่างมากในการกำหนดว่าพวกเขาจะเจอและคบหากับคนแบบไหน

ตัวอย่างเช่น เช็ตตีกล่าวว่า มิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นใน “สถาบันศาสนา” มีแนวโน้มที่จะข้ามผ่านชนชั้นทางสังคมได้มากกว่า

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ โรงเรียนอาจต้องคิดใหม่เกี่ยวกับ “การจัดแบ่งชั้นเรียนตามระดับความสามารถ” เพราะในหลายครั้ง การแบ่งแบบนี้มักจะแบ่งตามฐานะทางสังคม

นอกจากนี้ อาจรวมถึงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ของโรงเรียนด้วย อย่างที่เช็ตตีกล่าวว่า “มีความพยายามอื่น ๆ ที่จะเปลี่ยนสถาปัตยกรรมของโรงเรียน เพื่อให้เด็กๆ ได้มาเจอกันมากขึ้น หรือได้นั่งกินข้าวกลางวันในโรงอาหารร่วมกับเด็กจากพื้นเพที่แตกต่างกันมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม เช็ตตีมองว่า สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ลืมโปรแกรมแบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจด้วยอย่าง การฝึกอบรมทักษะอาชีพ

เช็ตตีทิ้งท้ายว่า มีบทเรียนที่ใหญ่กว่านี้สำหรับการออกแบบนโยบาย ไม่เฉพาะในสหรัฐเท่านั้น แต่ในระดับสากลด้วย คือ นโยบายควรสร้างเครือข่ายและโอกาสในการเชื่อมโยงผู้คนกับแหล่งโอกาสใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่ให้เงินเท่านั้น

“ก็เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มาจากพื้นเพด้อยโอกาส สามารถ ‘ไต่ระดับ’ ทางเศรษฐกิจและสังคมได้จริง”

อ้างอิง: wsjbusiness