กูรูมองเหตุปะทะชายแดนเพิ่มแรงกดดันแพทองธาร เสริมความนิยมกองทัพ

กูรูมองเหตุปะทะชายแดนเพิ่มแรงกดดันแพทองธาร เสริมความนิยมกองทัพ

ความขัดแย้งระหว่างทหารไทยกับกัมพูชากำลังโหมกระพือความรู้สึกชาตินิยม เป็นอันตรายต่อนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน ไม่กี่ชั่วโมงหลังเครื่องบินรบไทยโจมตีฐานที่มั่นทหารกัมพูชา และรัฐบาลพนมเปญโจมตีพื้นที่พลเรือนในเหตุปะทะนองเลือดที่สุดในรอบกว่าสิบปี กลุ่มชาตินิยมไทยก็ประกาศแผนชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในวันอาทิตย์ (27 ก.ค.) โพสต์สนับสนุนกองทัพบกและกองทัพอากาศติดเทรนด์ X และเฟซบุ๊กในประเทศไทย

บลูมเบิร์กระบุว่า แพทองธาร ตกที่นั่งลำบากอยู่แล้วจากการจัดการปัญหาชายแดน ผลจากคลิปเสียงโทรศัพท์กับอดีตนายกรัฐมนตรีฮุนเซนของกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. หลุดออกมา ในคลิปแพทองธาร วัย 38 ปี แสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อนบ้าน และวิจารณ์กองทัพอันทรงอำนาจของไทย นำไปสู่การยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี

 

“ความตึงเครียดทางทหารที่เพิ่มสูงขึ้น ตอกย้ำความคาดหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมีคำวินิจฉัยให้ปลดแพทองธารออกจากตำแหน่ง ถ้ามีการเลือกตั้งในปีนี้หรือปีหน้า พรรคอนุรักษนิยมย่อมหวังโหนกระแสชาตินิยม ขณะที่พรรคประชานิยมอย่างเพื่อไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” ปีเตอร์ มัมฟอร์ด หัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกจากยูเรเชียกรุ๊ปกล่าว  

รัฐบาลผสมนำโดยพรรคเพื่อไทยสุ่มเสี่ยงมากหลังพรรคภูมิใจไทยถอนตัว กลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แพทองธารเองเป็นนายกฯ หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกฯ เพราะขาดคุณสมบัติ ขณะที่ทักษิณ ชินวัตร บิดาแพทองธาร ถูกรัฐประหารในปี 2006

“รัฐบาลนี้อยู่ต่อไปก็มีแต่บั่นทอนและเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติในทุกมิติ รวมถึงเกียรติยศและผลประโยชน์แห่งชาติ ทรัพย์สมบัติสาธารณะ ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นและไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง” พิชิต ชัยมงคล แกนนำประท้วง กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.)

ความตึงเครียดระหว่าง ไทย-กัมพูชา ทวีความรุนแรงขึ้นนับตั้งแต่การยิงปะทะกันในเดือนพฤษภาคมซึ่งทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนายทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทพรมแดนราว 800 กิโลเมตรมานานหลายทศวรรษ วันนี้ (25 ก.ค.) กองทัพไทยได้ขอให้ประชาชนอยู่ห่างจากพื้นที่ชายแดนเนื่องจากการสู้รบยังคงดำเนินต่อไป

ในปี 2003 สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ เคยถูกเผาจากเหตุจลาจลเพราะชาวกัมพูชาโกรธเคืองที่ดาราไทยกล่าวว่า นครวัดเป็นของไทย ส่วนการปะทะกันระหว่างปี 2008-2011 ประชาชนตามแนวชายแดนของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตกว่า 24 คน

ข้อโต้แย้งส่วนใหญ่มาจากแผนที่ที่แตกต่างกันตามข้อความของ สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม เมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1900 ที่กำหนดเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนของฝรั่งเศส

วิกฤติล่าสุดเกิดขึ้นในช่วงเวลาท้าทายของทั้งสองประเทศ เมื่อสหรัฐจะเริ่มเก็บภาษีสูงลิ่วในวันที่ 1 ส.ค. เพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามทำข้อตกลงการค้ากับรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แล้ว แต่ประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกยังไม่บรรลุดีล

ฐิติพล ภักดีวณิช อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า การกระทำของรัฐบาลต่อประเด็นกัมพูชา เสี่ยงสูญเสียความชอบธรรมและเพิ่มความนิยมให้กองทัพในการเมืองไทย

“การไร้ความสามารถของพรรคเพื่อไทยในการนำรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำลังทำให้กองทัพได้รับความนิยม” ฐิติพลกล่าว

การเมืองไทยเต็มไปด้วยการต่อสู้ยาวนานระหว่างฝ่ายประชานิยมโปรประชาธิปไตยกับฝ่ายสนับสนุนกองทัพที่ประกอบด้วยชนชั้นนำผู้มั่งคั่งและข้าราชการรอยัลลิสต์ นับตั้งแต่สิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 1932 ประเทศไทยก็รัฐประหารหลายสิบครั้ง มีรัฐธรรมนูญราว 20 ฉบับ รัฐบาลในสายตระกูลชินวัตรอย่างน้อยสี่รัฐบาลถูกโค่นถ้าไม่ด้วยการรัฐประหารก็เป็นคำสั่งศาล

“การปะทะกันที่ชายแดนจะทำให้กลุ่มอนุรักษนิยมแข็งแกร่งขึ้น และคาดกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทางการเมืองอาจนำไปสู่การก่อรัฐประหาร แม้ว่าในขณะนี้ดูเหมือนจะยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม”

“โอกาสที่จะเกิดรัฐประหารจะเพิ่มขึ้น หากสถานการณ์ด้านความมั่นคงและสภาพแวดล้อมทางการเมืองเลวร้ายลงไปอีก”มัมฟอร์ดกล่าว

 

อ้างอิง: Bloomberg