'เวียดนาม' เร่งประเมินผลกระทบภาษีใหม่ทรัมป์ ส่งออกไปสหรัฐจ่อวูบ 1 ใน 3

รัฐบาลเวียดนามประเมินการส่งออกไปสหรัฐ อาจลดลงมากถึง 1 ใน 3 รายได้จ่อวูบหนัก 1.2 ล้านล้าน หากภาษีนำเข้าใหม่ที่ตกลงกับทรัมป์เริ่มมีผลบังคับใช้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างตามเอกสารการประเมินภายในของรัฐบาลเวียดนามว่า มูลค่าการส่งออกของเวียดนามไปยังตลาดสหรัฐอาจลดลงมากถึง 1 ใน 3 หากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลบังคับใช้
ตามเอกสารการประเมินภายในที่จัดทำขึ้นภายใต้คณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ พบว่า อัตราภาษีนำเข้า 20% และอัตรา 40% สำหรับสินค้า transshipment อาจทำให้รายได้จากการส่งออกของเวียดนามหายไปสูงสุดถึง 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (เกือบ 1.2 ล้านล้านบาท) โดยคาดว่าจะกระทบต่ออุตสาหกรรมหลักของเวียดนามในวงกว้าง ทั้งอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เสื้อผ้า รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์
แหล่งข่าวซึ่งใกล้ชิดกับการจัดทำรายงานดังกล่าวระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ผู้ผลิตในเวียดนามจะเป็นฝ่ายแบกรับภาระภาษีทั้งหมด แต่ในทางปฏิบัติ จริงผู้นำเข้าในสหรัฐอาจต้องร่วมรับภาระบางส่วนด้วย
เอกสารดังกล่าวระบุว่า "ภาคเทคโนโลยี" คาดว่าจะเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยการส่งออกอาจปรับตัวลดลงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ พร้อมเตือนว่าภาษีที่สหรัฐประกาศอาจเป็น "ความเสี่ยงโดยตรงต่อความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์"
ทั้งนี้ เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐรวมทั้งสิ้นราว 1.2 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมาตามข้อมูลทางการ และเป็นประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุดเป็นอันดับ 3 โดยเกินดุลราว 1.04 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
รายงานฉบับดังกล่าวลงวันที่ 11 ก.ค. มีขึ้นตามมาเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับเวียดนาม ขณะที่รัฐบาลเวียดนามยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับอัตราภาษีที่สหรัฐประกาศ และทั้งสองประเทศก็ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดข้อตกลงอย่างเป็นทางการ
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของเวียดนามยังไม่ได้ให้ความเห็นต่อกรณีรายงานดังกล่าวของบลูมเบิร์ก
เวียดนามกังวลภาษี 40% สกัดจีน
นอกจากภาษีนำเข้า 20% กับเวียดนามแล้ว สหรัฐยังเรียกเก็บภาษีการขนถ่ายสินค้าผ่านเวียดนาม หรือ Transshipment อีก 40% ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่มีเป้าหมายเพื่อลดการ "สวมสิทธิ" ของสินค้าจีนที่ใช้ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเส้นทางผ่าน โดยเฉพาะเวียดนามที่ถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของจีน และยังนำเข้าสินค้าองค์ประกอบจำนวนมากจากจีนเพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐ เช่น หูฟัง AirPods และสมาร์ตโฟน
จนถึงปัจจุบัน สหรัฐก็ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าสินค้าใดเข้าข่าย Transshipment และจะใช้เกณฑ์ใดในการบังคับใช้อัตราภาษี 40%
ในเอกสารภายในของหน่วยงานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ระบุชัดเจนว่า นโยบายภาษีของสหรัฐมีเป้าหมายเพื่อลดบทบาทของจีน โดยระบุว่าทรัมป์ใช้นโยบายนี้เป็นเครื่องมือ "เพื่อควบคุมการพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีน และสร้างสถานะของสหรัฐขึ้นใหม่"
ก่อนหน้านี้บลูมเบิร์กเคยรายงานว่า ผู้นำเวียดนามไม่ทันได้ตั้งตัวกับถ้อยแถลงของทรัมป์ และพยายามเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีลง ขณะที่ทรัมป์ได้ทยอยประกาศข้อตกลงการค้ากับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น พร้อมส่งหนังสือแจ้งเตือนการขึ้นภาษีไปยังคู่ค้าหลายประเทศ ก่อนที่มาตรการภาษีฉบับใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากสหรัฐเกี่ยวกับ กฎแหล่งกำเนิดสินค้า (rules of origin) กระทรวงพาณิชย์เวียดนามได้ออกแนวทางร่างกฎหมายฉบับใหม่เพื่อยกระดับการควบคุมการใช้เครื่องหมาย “Made in Vietnam” และปราบปรามการฉ้อโกงทางการค้า โดยแนวทางนี้จะกำหนดวิธีการชัดเจนในการประเมินแหล่งที่มาของสินค้าและเนื้อหาภายในที่เวียดนามเป็นผู้ผลิต และจะรวมถึงการประเมินสัดส่วนมูลค่าเพิ่ม (value-added) ที่เกิดขึ้นภายในเวียดนาม การตรวจสอบกระบวนการผลิตหลัก ตลอดจนการกำหนดบทลงโทษกรณีการติดฉลากไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็ดี เอกสารการประเมินภายในยังระบุว่า ผู้ประกอบการเวียดนามยังคงเผชิญความยากลำบากในการ "ตีความข้อตกลงการค้าใหม่" และจำเป็นต้องมีความชัดเจนให้มากขึ้นว่า “จะคำนวณสัดส่วนเนื้อหาภายในประเทศ (local contents) อย่างไร






