อินโดนีเซียเตรียมลดภาษี-อุปสรรคการค้าให้สหรัฐ

อินโดนีเซียเห็นชอบขจัดภาษีสินค้าสหรัฐกว่า 99% และอุปสรรคอื่นที่บริษัทอเมริกันต้องเผชิญ ขณะที่สหรัฐลดภาษีสินค้าให้จาก 32% เหลือ 19%
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ร่วมสหรัฐและอินโดนีเซียในวันอังคาร (22 ก.ค.) ถึงรายละเอียดกรอบข้อตกลงการค้าว่า คณะเจรจาทั้งสองฝ่ายจะสรุปข้อตกลงที่แท้จริงภายในไม่กี่สัปดาห์นี้
“วันนี้ สหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐอินโดนีเซียเห็นชอบกรอบสำหรับการเจรจาข้อตกลงเรื่องการค้าต่างตอบแทนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งจะเปิดให้ผู้ส่งออกของทั้งสองประเทศเข้าถึงตลาดของกันและกันได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน” แถลงการณ์ระบุ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ทรูธโซเชียล ยกย่องข้อตกลงที่เขาประกาศไว้เมื่อวันที่ 15 ก.ค. เรียกว่า
“ชัยชนะอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ บริษัทเทค คนงาน เกษตรกร เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ และผู้ผลิตของเรา”
ข้อตกลงกับอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในไม่กี่ฉบับที่รัฐบาลทรัมป์ทำได้ก่อนถึงเส้นตายเก็บภาษีสูงลิ่วในวันที่ 1 ส.ค. อินโดนีเซียซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกเก็บภาษี 19% เท่ากับฟิลิปปินส์ที่ทรัมป์ประกาศดีลในวันอังคาร ส่วนเวียดนามจ่ายในอัตรา 20%
เจ้าหน้าที่รายหนึ่งในรัฐบาลทรัมป์เผยว่า ภายใต้ข้อตกลงอินโดนีเซียต้องยกเลิกแผนเก็บภาษีข้อมูลอินเทอร์เน็ตทันที,เห็นชอบสนับสนุนต่ออายุการพักภาษีอีคอมเมิร์ซขององค์การการค้าโลก, ยกเลิกการตรวจสอบสินค้าสหรัฐก่อนขนส่ง ซึ่งสร้างปัญหาให้กับการส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐ เป็นเหตุให้ต้องขาดดุลการค้ามาเรื่อยๆ
เจ้าหน้าที่ย้ำว่า ข้อตกลงนี้อาจช่วยให้สหรัฐกลับมาได้เปรียบดุลการค้าสินค้าเกษตรกับอินโดนีเซีย
ส่วนที่เป็นชัยชนะของผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐคือ อินโดนีเซียเห็นชอบยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์ของสหรัฐสำหรับรถยนต์ส่งออกจากสหรัฐ ที่ส่งมายังอินโดนีเซีย
นอกจากนี้อินโดนีเซียยังตกลงยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม เช่น แร่ธาตุสำคัญ รวมทั้งยกเลิกข้อจำกัดส่วนประกอบท้องถิ่น (local content) สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้สินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ส่งออกไปยังสหรัฐ
แถลงการณ์ร่วมระบุว่า สหรัฐจะลดภาษีศุลกากรตอบโต้ลงเหลือ 19% และ “อาจระบุสินค้าโภคภัณฑ์บางชนิดที่ไม่มีหรือผลิตไม่ได้ในสหรัฐ เพื่อลดอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้เพิ่มเติมด้วย” อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ไม่ได้มีรายละเอียดในส่วนนี้
ทั้งสองประเทศจะหารือกันเรื่องกฎต้นกำเนิดสินค้าเพื่อให้มั่นใจได้ว่า ผลประโยชน์จากข้อตกลงจะตกอยู่กับสหรัฐและอินโดนีเซียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ประเทศที่ 3
อินโดนีเซียจะพยายามลดอุปสรรคสำหรับผลิตภัณฑ์ของสหรัฐด้วยการยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้าและข้อกำหนดใบอนุญาตสำหรับสินค้าและชิ้นส่วนที่ผลิตใหม่ของสหรัฐ ทั้งยังเห็นชอบเข้าร่วมในเวทีโลกว่าด้วยผลผลิตเหล็กล้นเกิน และดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในภาคส่วนเหล็กทั่วโลก






