อียูเตรียมแผนตอบโต้ หลังสหรัฐแสดงท่าทีทางการค้าที่แข็งกร้าว

อียูเตรียมแผนตอบโต้ หลังสหรัฐแสดงท่าทีทางการค้าที่แข็งกร้าว

ทูตอียูมีกำหนดประชุมกันในสัปดาห์นี้ เพื่อกำหนดแผนรับมือกับสถานการณ์ที่อาจไม่มีข้อตกลงกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งท่าทีในการเจรจาภาษีศุลกากรที่เข้มงวดมากขึ้น

บลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (21 ก.ค.68) ว่า ทูตสหภาพยุโรป หรือ EU มีกำหนดประชุมกันในสัปดาห์นี้ เพื่อกำหนดแผนมาตรการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจไม่มีข้อตกลงกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ซึ่งท่าทีในการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรของเขาดูเหมือนจะเข้มงวดขึ้นก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม 2568

ความต้องการอย่างท่วมท้นคือ การผลักดันการเจรจากับวอชิงตันให้เป็นไปตามแผน เพื่อให้การเจรจาได้ข้อสรุปลงก่อนถึงเส้นตายในเดือนหน้า

อย่างไรก็ตาม ความพยายามยังไม่คืบหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเจรจาที่วอชิงตัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวใกล้ชิด การเจรจาจะดำเนินต่อไปในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

ขณะนี้สหรัฐ ดูเหมือนจะต้องการให้มีการจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้าจากสหภาพยุโรปในอัตราที่สูงกว่า 10% ซึ่งเป็นระดับอัตราภาษีทั่วไป โดยจะมีข้อยกเว้นสำหรับสินค้าบางรายการที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบิน อุปกรณ์การแพทย์ และยาสามัญบางชนิด สุราหลายชนิด และอุปกรณ์การผลิตที่สหรัฐ ต้องการ แหล่งข่าวซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อกล่าว

โฆษกของคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งรับผิดชอบเรื่องการค้าของสหภาพยุโรป กล่าวว่า พวกเขายังไม่มีความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่

ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับเพดานที่เป็นไปได้สำหรับบางภาคอุตสาหกรรม รวมถึงโควตาสำหรับเหล็ก และอะลูมิเนียม และวิธีการปกป้องห่วงโซ่อุปทานจากแหล่งที่มาของโลหะที่ล้นตลาด แหล่งข่าวกล่าว แหล่งข่าวเตือนว่า แม้จะบรรลุข้อตกลงได้ก็จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากทรัมป์ และจุดยืนของเขายังไม่ชัดเจน

“ผมมั่นใจว่าเราจะบรรลุข้อตกลงได้” โฮเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ กล่าวในรายการ Face the Nation ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส เมื่อวันอาทิตย์ “ผมคิดว่าประเทศสำคัญๆ เหล่านี้จะตระหนักว่าการเปิดตลาดให้กับสหรัฐอเมริกานั้นดีกว่าการจ่ายภาษีนำเข้าจำนวนมาก”

ลัทนิค กล่าวเสริมว่าเขาได้พูดคุยกับผู้เจรจาการค้ายุโรปเมื่อเช้าวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น

 

 

จดหมายของทรัมป์

ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เขียนจดหมายถึงสหภาพยุโรปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยเตือนว่าสหภาพยุโรปจะต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสูง 30% สำหรับสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568

นอกจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าทั่วไปแล้ว ทรัมป์ยังได้เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ และชิ้นส่วน 25% เหล็ก และอะลูมิเนียมอีกสองเท่า นอกจากนี้ เขายังขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ายา และเซมิคอนดักเตอร์ใหม่ภายในเดือนหน้า และเพิ่งประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดง 50% โดยรวมแล้ว

สหภาพยุโรปประเมินว่าภาษีนำเข้าของสหรัฐ ครอบคลุมสินค้ามูลค่า 3.8 แสนล้านยูโร (4.42 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือประมาณ 70% ของสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา

ก่อนจดหมายของทรัมป์ สหภาพยุโรปมีความหวังว่ากำลังก้าวเข้าสู่ข้อตกลงกรอบการทำงานเบื้องต้นที่จะเปิดโอกาสให้มีการหารืออย่างละเอียดต่อไป โดยอิงกับอัตราภาษีศุลกากรสากลที่ 10% สำหรับสินค้าส่งออกหลายรายการของสหภาพยุโรป

สหภาพยุโรปกำลังแสวงหาข้อยกเว้นที่มากกว่าที่สหรัฐ เสนอ รวมถึงพยายามปกป้องสหภาพยุโรปจากภาษีศุลกากรเฉพาะภาคส่วนอุตสาหกรรมในอนาคต แม้ว่าจะเป็นที่ยอมรับกันมานานแล้วว่าข้อตกลงใดๆ ก็ตามจะเอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐ  แต่สหภาพยุโรปจะประเมินความไม่สมดุลโดยรวมของข้อตกลงก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะใช้มาตรการปรับสมดุล หรือไม่ ตามที่บลูมเบิร์กรายงานไว้ก่อนหน้านี้ ระดับความเจ็บปวดที่ประเทศสมาชิกพร้อมจะยอมรับนั้นแตกต่างกันไป และบางประเทศก็เปิดรับอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น หากได้รับการยกเว้นเพียงพอ แหล่งข่าวกล่าว

ข้อตกลงใดๆ ก็ตามจะครอบคลุมถึงอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การปรึกษาหารือการค้าดิจิทัล และการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์

เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

ด้วยโอกาสของผลลัพธ์เชิงบวกที่ริบหรี่ลง และเส้นตายที่ใกล้เข้ามา คาดว่าสหภาพยุโรปจะเริ่มเตรียมแผนการดำเนินการอย่างรวดเร็วหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ แหล่งข่าวกล่าว การตัดสินใจตอบโต้ใดๆ ก็ตามอาจต้องได้รับการอนุมัติทางการเมืองจากผู้นำสหภาพยุโรป เนื่องจากความเสี่ยงนั้นสูงมาก แหล่งข่าวกล่าวเสริม

มาตรการตอบโต้ใดๆ ก็ตาม อาจก่อให้เกิดความแตกแยกทางการค้าข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากคำเตือนของทรัมป์ที่ว่าการตอบโต้ต่ออเมริกาจะยิ่งนำไปสู่กลยุทธ์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นจากรัฐบาลของเขา

สหภาพยุโรปได้อนุมัติภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ มูลค่า 21,000 ล้านยูโร ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบโต้การเรียกเก็บภาษีโลหะของทรัมป์ โดยมุ่งเป้าไปที่รัฐต่างๆ ของอเมริกาที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ถั่วเหลืองจากรัฐลุยเซียนา ซึ่งเป็นบ้านของประธานสภาผู้แทนราษฎรไมค์ จอห์นสัน ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ สัตว์ปีก และรถจักรยานยนต์

สหภาพยุโรปยังได้จัดทำรายการภาษีศุลกากรเพิ่มเติมสำหรับสินค้าอเมริกันมูลค่า 7.2 หมื่นล้านยูโร เพื่อตอบโต้มาตรการจัดเก็บภาษีแบบตอบโต้ และภาษีนำเข้ายานยนต์ของทรัมป์ โดยจะมุ่งเป้าไปที่สินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงเครื่องบินของบริษัทโบอิง รถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐ และวิสกี้เบอร์เบิน

สหภาพยุโรปกำลังดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการที่อาจนอกเหนือไปจากภาษีศุลกากร เช่น การควบคุมการส่งออก และข้อจำกัดเกี่ยวกับสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

เครื่องมือป้องกันการถูกบีบบังคับ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บลูมเบิร์ก รายงานมีจำนวนประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มมากเรื่อยๆ ที่ต้องการให้กลุ่มเปิดใช้งานเครื่องมือการค้าทรงพลังที่สุดที่เรียกว่า “เครื่องมือป้องกันการบีบบังคับ” (Anti-Coercion Instrument: ACI) กับสหรัฐ หากสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่ยอมรับได้ และหากทรัมป์ดำเนินการขู่เรียกเก็บภาษีสูง

เครื่องมือ ACI จะให้อำนาจกว้างขวางแก่เจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตอบโต้ ซึ่งมาตรการเหล่านั้นอาจรวมถึงการเก็บภาษีใหม่กับบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีของสหรัฐ หรือการจำกัดการลงทุนของสหรัฐ ในอียู อย่างเฉพาะเจาะจง อาจรวมถึงการจำกัดการเข้าถึงบางส่วนของตลาดอียู หรือห้ามบริษัทสหรัฐฯ เข้าร่วมแข่งประมูลโครงการภาครัฐในยุโรป

เครื่องมือป้องกันการบีบบังคับถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อเป็นการยับยั้งเป็นหลัก และหากจำเป็นต้องใช้ ก็เป็นวิธีตอบโต้ต่อการกระทำบีบบังคับจากประเทศที่สามที่ใช้มาตรการทางการค้าเป็นวิธีการกดดันการตัดสินใจทางอธิปไตยของกลุ่มประเทศสมาชิกทั้ง 27 ประเทศหรือประเทศสมาชิกแต่ละราย

คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปสามารถจะเสนอการใช้ ACI ได้ แต่จะขึ้นอยู่กับประเทศสมาชิกในการตัดสินว่าการบีบบังคับหรือไม่ และควรใช้มาตรการ ACI หรือไม่ ในกระบวนการนี้อียู จะพยายามปรึกษากับฝ่ายที่ใช้มาตรการบีบบังคับเพื่อหาทางแก้ไขประเทศสมาชิกได้รับการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานะของการเจรจาการค้ากับสหรัฐ เมื่อวันศุกร์

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์