ชัดเจนกับ MOU 2543 | อาหารสมอง

ในเดือนที่ผ่านไป เราได้ยินข่าวความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชากันแทบทุกวัน และคำหนึ่งที่ได้ยินคู่ไปด้วยก็คือ “MOU 2543” คนไทยจำนวนหนึ่งอาจไม่เข้าใจชัดเจนว่าคืออะไร
บ้างเข้าใจว่าเป็นสนธิสัญญาที่ทำให้ไทยเสียดินแดน บ้างเข้าใจว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจรจาเพื่อสันติสุข บ้างเข้าใจว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อพิพาท ฯลฯ ผู้เขียนถูกพาดพิงในเรื่องนี้ด้วย วันนี้ขอนำเรื่อง MOU 2543 มาเล่าสู่กันฟังว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร
จะเข้าใจ MOU 2543 ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจ (MOU:Memorandum of Understanding) ระหว่างไทยและกัมพูชาต้องย้อนกลับไปดูพื้นหลังประวัติศาสตร์ก่อนที่จะมีบันทึกฉบับนี้ ก่อนปี 2343 (ค.ศ.1800) ประเทศส่วนใหญ่ในโลกไม่มีพรมแดนแน่นอนแบบปัจจุบัน มีเพียง “เขตอิทธิพล” หรือ “หัวเมืองขึ้น” พรมแดนก็เป็นแนวธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ภูเขา ป่า
ต่อมาในเวลาไม่นานในยุคล่าอาณานิคมของยุโรป ก็เกิดความต้องการการมีพรมแดนที่ชัดเจนระหว่างประเทศใต้อาณานิคม การสำรวจทางภูมิศาสตร์และสร้างแผนที่จึงเกิดขึ้น
เจ้าอาณานิคมในแถบนี้คืออังกฤษและฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ของตนเองขึ้น ส่วนไทยนั้นเพิ่งจัดตั้งกรมแผนที่ในปี 2438 เพื่อพัฒนาแผนที่ขึ้นจึงช้ากว่าฝรั่งมาก นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยบ่อยครั้งเสียเปรียบในการเจรจาพรมแดนกับเพื่อนบ้าน เนื่องจากเขามีแผนที่ที่เจ้าอาณานิคมเก่าได้ทำไว้
เมื่อเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็มีการเคลื่อนไหวจัดทำแผนที่พรมแดนเพื่อความชัดเจน แต่ก็มีข้อขัดแย้งเพราะแผนที่เหล่านี้จากเจ้าอาณานิคมใช้มาตราส่วน 1:200,000 (ความยาว 1 เซนติเมตรบนแผนที่เท่ากับความยาว 2 กิโลเมตร) ซึ่งถือว่าหยาบ
ในขณะที่ไทยมีแผนที่ซึ่งจัดทำขึ้นอย่างทันสมัยกว่าในมาตราส่วน 1:50,000 (1 เซนติเมตรเท่ากับ 500 เมตร) ซึ่งมาตราส่วนนี้เป็นสากลเพราะขยายกว่าถึง 4 เท่า ทำให้เห็นสิ่งก่อสร้าง หมู่บ้าน แนวป่า ฯลฯ ชัดเจนกว่ามาก ดังนั้น จึงตกลงกันได้ยากโดยเฉพาะหากเป็นประเทศที่มีความหลังกันมายาวนาน
ความไม่ชัดเจนของพรมแดนทำให้เกิดเหตุการณ์ปะทะสองครั้งที่บ้านร่มเกล้า-บ้านน้ำเค็ม จ.พิษณุโลก กับ สปป.ลาวในช่วงปี 2530-2531 เหตุพิพาทคือการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ประมาณ 80 ตารางกิโลเมตร การต่อสู้ทำให้มีทหารเสียชีวิตฝ่ายละนับสิบคน
นอกจากนี้ในช่วงปี 2551-2554 เกิดการปะทะครั้งรุนแรงกับกัมพูชารอบบริเวณปราสาทพระวิหาร หลังจากที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในปี 2551 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ไทยคัดค้านเพราะพื้นที่ทับซ้อนกับเขตแดนไทย
หากใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของฝ่ายไทย การปะทะเกิดขึ้นหลายรอบ ครั้งรุนแรงคือต้นปี 2554 และ เม.ย.2554 หลังจากนี้มีการปะทะกับกัมพูชาอีกหลายครั้งระหว่าง 2555-2563 ในพื้นที่ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี
เหตุการณ์ที่ร่มเกล้ามีบทบาทสำคัญผลักดันให้รัฐบาลไทยหาทางสร้างข้อยุติปัญหาพรมแดนด้วยการเจรจา โดยหารือกันยาวนาน จนในที่สุด พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รองรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและกัมพูชาได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมในวันที่ 21 มิ.ย.2540
เพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก ซึ่งจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในการประชุมครั้งแรกกลางปี 2542 ต่อมาประชุมครั้งที่ 2 ระหว่าง 5-7 มิ.ย.2543 อันนำไปสู่ MOU 2543
ผู้เขียนถูกพาดพิงโดยสื่อเพราะได้ลงนามในหนังสือลงวันที่ 12 มิ.ย.2543 ถึงนายกรัฐมนตรี (ชวน หลีกภัย) ในฐานะรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อ “(1) ขออนุมัติให้ รมช.ต่างประเทศลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU 2543) ที่กรุงพนมเปญ ระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (14-16 มิ.ย.2543)
(2) ขออนุมัติในหลักการที่จะให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำแผนที่สมัยใหม่แก่กัมพูชา เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ โดยฝ่ายไทยจัดหางบประมาณเพื่อการนี้ในระดับที่จำเป็นและเหมาะสมต่อไป” นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติและต่อมาก็ได้เกิด MOU 2543 ขึ้นโดยลงนามโดย รมช.ต่างประเทศ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร และนายวาร์ กิมฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนของกัมพูชาในวันที่ 14 มิ.ย.2543
เนื้อหาหลักของ MOU 2543 มีดังต่อไปนี้ (1) ไทยและกัมพูชาจะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกโดยอ้างอิงสนธิสัญญากำหนดเขตแดนของปี 2436, 2447, 2450 และแผนที่สำรวจของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีน เป็นหลักอ้างอิงในการทำงาน (จัดทำกรอบการทำงานร่วมกัน) (2) สร้างกลไกการทำงานที่เป็นระบบผ่านคณะกรรมการต่าง ๆ
(3) ห้ามทำกิจกรรม “เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมชายแดน” ก่อนที่คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคจะดำเนินการสำรวจและทำหลักเขตแดน (4) ทั้งสองฝ่ายต้องแจ้งล่วงหน้า กรณีมีการปฏิบัติใดๆ เช่น สร้างถนน ขุดลอก หรือลาดตระเวน ต้องงดการโฆษณาหรือกระตุ้นอารมณ์ชาตินิยมจนเกิดความขัดแย้ง
ข้อสังเกตจาก MOU 2543 ก็คือ (1) มิใช่สนธิสัญญาที่เปลี่ยนแปลงเส้นแบ่งเขตแดนอย่างแน่นอน หากเป็นกรอบข้อตกลงให้มีการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันผ่านการเจรจา (2) เอกสารต่างๆ ที่ระบุเป็นเพียงเอกสารอ้างอิงที่ใช้ในการเจรจากำหนดเขตแดน (3) เป็นกลไกที่จะทำให้เกิดการกำหนดเขตแดนอย่างสันติวิธี โดยต้องตกลงเจรจากันต่อไปในรายละเอียดผ่านคณะกรรมการร่วม
(4) หากเป็นภาษาทั่วไป MOU 2543 ก็คือ “ข้อตกลงว่าจะตกลง” นั่นเอง (5) เป็นสัญลักษณ์ของความพยายามของทั้งสองประเทศที่มุ่งแก้ปัญหาผ่านสันติวิธี ไม่ใช่ความขัดแย้ง (6) มิได้กำหนดให้ใช้มาตราส่วนแผนที่ใดโดยเฉพาะ หากระบุไว้ทั้ง 2 มาตราส่วนของแผนที่ คือ 1:50,000 และ 1:200,000
ข้อขัดแย้งในปี 2568 มีที่มาจากการทำกิจกรรมเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมชายแดนโดยพลการของฝ่ายกัมพูชา การละเมิด MOU 2543 ในข้อนี้ได้เกิดขึ้นมากกว่า 450 ครั้งเช่น สร้างถนน สร้างวัด ตลาด ขุดคูน้ำ ฯลฯ ในรอบ 25 ปีของ MOU 2543 เมื่อไทยแจ้งประท้วงก็มีการแก้ไขเพียงประมาณ 100 ครั้งเท่านั้น (ข้อมูลจาก ดร.ปณิธาน วัฒนายากร)
ข้อขัดแย้งสำคัญคือ การยึดแผนที่คนละมาตราส่วน การมีมาตราส่วนที่หยาบและล้าสมัยทำให้ไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศจริงที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากสนธิสัญญาได้กำหนดเขตแดนบางส่วนในอดีต
สองสาเหตุนี้มีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้สามารถจัดทำหลักเขตแดนได้สำเร็จไม่เกินกว่า 20% ในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ MOU 2543 ทำงานมา 25 ปีแล้ว จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรก็ควรพิจารณากันต่อไปอย่างใช้เหตุใช้ผลมากกว่า อารมณ์ชาตินิยม ครับ







