ส่งออกจีนโตเกินคาด 'นำเข้า' เพิ่งฟื้นเป็นเดือนแรกของปี

ส่งออกจีนเดือนมิ.ย. โตเกินคาด ผู้ค้าเร่งส่งออกก่อนนโยบายผ่อนผันของทรัมป์สิ้นสุดวันที่ 1 ส.ค. ขณะที่การนำเข้าเพิ่งฟื้นเป็นเดือนแรกของปีนี้
กรมศุลกากรจีน รายงานตัวเลขการส่งออก เดือนมิถุนายน ขยายตัว 5.8% ในรูปของดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์สคาดการณ์ไว้ที่ 5% เนื่องจากภาคธุรกิจยังคงเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่มาตรการผ่อนปรนภาษีชั่วคราวของสหรัฐจะถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 สิงหาคม
ขณะที่ตัวเลข "การนำเข้า" ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% จากปีก่อนหน้า แม้จะต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 1.3% แต่ก็นับ "เป็นครั้งแรก" ที่การนำเข้าเติบโตในปีนี้ ซึ่งพลิกกลับแนวโน้มที่คาดว่าการนำเข้าของจีนจะลดลงในปีนี้ ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซา
สำหรับตัวเลขครึ่งปีแรกของปี 2568 นั้น พบว่า การส่งออกของจีนเพิ่มขึ้น 5.9% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การนำเข้าลดลง 3.9% โดยมีดุลการค้าเกินดุล 585.96 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 35% จากปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ นโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กระตุ้นให้ผู้ส่งออกจีนเร่งความพยายามในการกระจายไปยังตลาดทางเลือกอื่นๆ ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม การส่งออกของจีนดูเหมือนจะแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้น 8.1% และ 4.8% ตามลำดับเมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากการส่งออกที่พุ่งสูงขึ้นไปยังประเทศใน "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" และ "สหภาพยุโรป" ซึ่งช่วยชดเชยการลดลงของสินค้าที่ส่งไปยังสหรัฐ
หวัง หลิงจวิน รองอธิบดีกรมศุลกากรจีน แถลงในวันนี้ว่า ข้อตกลงเจนีวาและกรอบความร่วมมือลอนดอนเป็นข้อตกลงที่ “ได้มาอย่างยากลำบาก” และทั้งสองฝ่ายกำลังเร่งดำเนินการตามข้อตกลงที่ตกลงกันไว้ หลังจากที่จีนและสหรัฐบรรลุความตกลงทางการค้าได้เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่กรุงลอนดอน ซึ่งสหรัฐเก็บภาษีจีนที่ 55% และจีนเก็บภาษีสหรัฐในอัตรา 10%
มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขาได้เจรจากับ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนอย่าง “สร้างสรรค์และเป็นรูปธรรม” และมีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะพบกับประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" ของจีน ขณะที่หวังยังเน้นย้ำว่าทั้งสองประเทศควรยึดมั่นในฉันทามติที่บรรลุโดยผู้นำทั้งสองฝ่าย ด้วยนโยบายและการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ จีนเตรียมประกาศตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่สองในวันอังคาร โดยผลสำรวจของรอยเตอร์สคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีจีนไว้ที่ 5.1% ซึ่งช้ากว่าการเติบโต 5.4% ในไตรมาสแรก







