ไทย ‘ทางผ่าน-ฐานพัก’ สินค้าจีน ‘ของก็อปแบรนด์หรู’ ที่สหรัฐไม่ปลื้ม!

ไทย ‘ทางผ่าน-ฐานพัก’ สินค้าจีน ‘ของก็อปแบรนด์หรู’  ที่สหรัฐไม่ปลื้ม!

ไทย ‘ทางผ่าน-ฐานพัก’ สินค้าจีน ‘ของก็อปแบรนด์หรู’ ปมละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่สหรัฐไม่ปลื้ม! กดดันเจรจาการค้าตึงเครียด

KEY

POINTS

  • ไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ถูกสหรัฐ เพ่งเล็งว่า เป็นทางผ่านสำคัญของสินค้าจีนที่เลี่ยงภาษี และเป็นแหล่งผลิต/จำหน่าย “สินค้าลอกเลียนแบบ” จำนวนมหาศาล ทั้งตามท้องถนนและบนแพลตฟอร์มออนไลน์
  • รัฐบาลสหรัฐ ไม่พอใจความบกพร่องในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศเหล่านี้ ทำให้สินค้าปลอมยังแพร่หลาย
  • การซื้อของปลอมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่บ่อนทำลายธุรกิจถูกกฎหมาย ทำให้รัฐสูญเสียภาษี และผู้บริโภคเสี่ยงอันตรายด้านสุขภาพ
  • นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่าการยอมให้มีการค้าของปลอมทำให้มาเลเซีย “เสียเปรียบ” ในการดึงดูดการลงทุนระดับพรีเมียม เมื่อเทียบกับสิงคโปร์และเวียดนามที่พัฒนาการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาได้ดีกว่า

ตอนนี้ “ไทย” และประเทศในกลุ่มอาเซียนกำลังถูกเพ่งเล็งในฐานะประเทศทางผ่านของ “สินค้าจีน” เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐ  โดยหนึ่งสินค้าที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงคือ “สินค้าลอกเลียนแบบ” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลสหรัฐกำลังจับตา 

ถึงแม้ว่าการขาย  “สินค้าลอกเลียนแบบ” จะผิดกฎหมายและไม่ถูกต้อง แต่เรากลับเห็นการค้าขายแบบนี้เกิดขึ้นอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งสิ่งที่เราเห็นเป็นแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น  เพราะตลาดอาเซียนเต็มไปด้วยสินค้าลอกเลียนแบบจำนวนมหาศาล  

สหรัฐจับตา 'สินค้าจีนเปลี่ยนเส้นทาง' ส่งผ่านอาเซียน

เป้าหมายหลักของสหรัฐในตอนนี้ คือ สินค้าจีนที่ถูกเปลี่ยนเส้นทางผ่านประเทศเพื่อนบ้าน  ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้สินค้าจีนหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่สหรัฐเรียกเก็บ  รวมทั้งสหรัฐกำลังจับตาการค้าสินค้าผิดกฎหมายเข้าข่ายการ “ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” ที่วางขายทั่วอาเซียน กลายเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญในการเจรจาต่อรองมาตรการทางการค้า

สหรัฐอเมริกาไม่พอใจกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง ไทย มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม และอินโดนีเซียคือ “ความล้มเหลว” หรือ ความบกพร่องในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศเหล่านี้

สินค้าลอกเลียนแบบในอาเซียน อยู่ทั่วตามท้องถนนและบนโลกออนไลน์  เช่น ตุ๊กตา Labubu ปลอม, กระเป๋า Louis Vuitton, รองเท้า Nike, เครื่องประดับ, นาฬิกา Rolex รวมถึงยาและน้ำหอมปลอม ล้วนหาซื้อได้ง่าย จนเกิดเศรษฐกิจใต้ดินขนาดใหญ่ที่ยากจะตรวจสอบได้

จากข้อมูลของสหพันธ์นาฬิกาสวิสพบว่า ในแต่ละปีมีนาฬิกาปลอมหลายสิบล้านเรือนถูกนำออกจำหน่าย โดยส่วนใหญ่ถูกส่งผ่านภูมิภาคเอเชีย 

เมื่อปีที่แล้ว คดีของชายชาวฝรั่งเศสฉายา "เจ้าชายแห่งของปลอม" ได้เปิดโปงเส้นทางที่น่าตกใจว่า สินค้าหรูหราเลียนแบบถูกส่งมาจากโรงงานในจีนไปยังผู้ขายในไทย จากนั้นก็กระจายไปถึงมือผู้ซื้อทั่วโลกผ่านกลุ่มลับบน WhatsApp 

ไทยติดลิสส์สหรัฐ  ปมทรัพย์สินทางปัญญา

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งศูนย์การค้ากลางกรุงเทพฯ และห้างไซง่อนสแควร์ ในนครโฮจิมินห์มีการยึดสินค้าปลอมมูลค่านับล้านปอนด์ และนำมาจัดแสดงต่อหน้าสื่อมวลชนอย่างเอิกเกริก เพื่อโชว์ให้เห็นว่ารัฐบาลในภูมิภาคกำลังพยายามแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่ถึงแม้จะมีการปราบปรามและจับกุมอย่างต่อเนื่อง การค้าของปลอมก็ยังคงเข้าถึงได้ง่าย 

เมื่อปีที่แล้ว กรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทยได้ดำเนินคดีมากกว่า 1,300 คดี และสามารถยึดสินค้าลอกเลียนแบบได้กว่า 2.7 ล้านชิ้น ซึ่งมีมูลค่ารวมกันหลายสิบล้านดอลลาร์ แต่แม้จะมีการปราบปรามไทยก็ยังคงอยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังของสหรัฐในประเด็นเกี่ยวกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ระบุในรายงานช่วงต้นปีว่า "แม้ว่าประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในด้านเหล่านี้ แต่ก็ยังคงมีความกังวลอยู่" โดยชี้ว่าสินค้าลอกเลียนแบบและการละเมิดลิขสิทธิ์ยังคงหาซื้อได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนช่องทางออนไลน์

ศูนย์การค้ากลางกรุงเทพฯ ถูกกล่าวถึงว่าเป็น "ตลาดที่ฉาวโฉ่" หรือแหล่งขึ้นชื่อเรื่องของปลอม และการถูกระบุชื่อเช่นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจาการค้ากับสหรัฐ โดยมีความหวังที่จะลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐจาก 36% ให้เหลือเพียง 10%

แม้จะมีการบุกทลายแหล่งสินค้าปลอมที่ศูนย์การค้ากลางกรุงเทพฯ ที่ขึ้นชื่อเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าปลอม ซึ่งเป็นข่าวใหญ่เมื่อเร็วๆนี้  แต่นี่เป็นแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น  เพราะศูนย์การค้าแห่งนี้เป็นเพียงจุดหนึ่งในเครือข่ายสินค้าปลอมขนาดใหญ่  โดยสินค้าปลอมเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นในหลายประเทศ ทั้ง จีน กัมพูชา เวียดนาม อินเดีย และไทย จากนั้นก็ไหลทะลักเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในรูปแบบของร้านค้าหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่หาซื้อได้ง่าย

ทั้งนี้ การจับกุมพวกที่ทำของปลอมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะในบางพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายอาจ “รับสินบน” เพื่อหลับตาข้างเดียวจากการค้าขายของผิดกฎหมายเหล่านี้ แถมศาลเองก็มักจะมองว่าการทำของปลอมเป็นแค่ ความผิดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

‘อีคอมเมิร์ซ’ ช่องทางสินค้าปลอมในโลกออนไลน์

นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายในโลกของ ”อีคอมเมิร์ซ” เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก เพราะมีพัสดุหลายล้านชิ้นถูกส่งออกไปทุกวัน ทำให้สินค้าผิดกฎหมายถูกปกปิดภายใต้ชื่อปลอมและบริษัทปลอมได้อย่างง่ายดาย

ตลาดออนไลน์ชั้นนำในเอเชียอย่าง Shopee, IndiaMART ของอินเดีย และ Bukalapak ของอินโดนีเซีย ล้วนถูกสหรัฐระบุว่าเป็นศูนย์กลางสำคัญของกิจกรรมการปลอมแปลง

นอกเหนือจากตลาดออนไลน์แล้ว แหล่งชอปปิ้งสินค้าลอกเลียนแบบในอาเซียนก็ยังคงโด่งดังในหมู่นักช็อป เช่น ถนนเปอตาลิง หรือ ไชนาทาวน์ในกัวลาลัมเปอร์ มีแผงขายกระเป๋า Louis Vuitton ปลอมและนาฬิกา Rolex จะตั้งเรียงรายอยู่ริมถนน  และสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ แผงส่วนใหญ่ขายโดยผู้อพยพชาวบังคลาเทศและเผยว่าเจ้านายเป็น “คนจีน”

หรือ เวียดนาม ก็เป็นอีกหนึ่ง ศูนย์กลางใหญ่ในการผลิตรองเท้าผ้าใบและเครื่องแต่งกายทั่วโลก และการขายของปลอมที่นี่ไม่ใช่เรื่องลับอะไร คุณสามารถหาสินค้าที่ผลิตเกินออร์เดอร์จากโรงงาน หรือสินค้าเลียนแบบที่ทำได้เสมือนของจริงได้ทั่วไป 

สินค้าปลอมไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ

การขายสินค้าปลอมไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ แต่มีผลกระทบทางการเงินทั่วโลก ทั้งทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้จากภาษี, ขัดขวางการลงทุน และทำให้การเจรจาการค้าระหว่างประเทศซับซ้อนยิ่งขึ้น

สำหรับ มาเลเซีย โดยเฉพาะในย่านดังอย่างถนนเปอตาลิง การค้าสินค้าลอกเลียนแบบถือเป็น “อุปสรรค” สำคัญในการค้าต่างประเทศมาอย่างยาวนาน และตอนนี้กำลังถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดมากขึ้นกว่าที่เคย

Liew Chee Yoong นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย UCSI ในกัวลาลัมเปอร์ชี้ว่า การที่มาเลเซียยังคงปล่อยให้มีการค้าของปลอมอยู่ทำให้ประเทศ “เสียเปรียบ” เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างสิงคโปร์และเวียดนาม ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ได้พัฒนาและทำให้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (IPR)แข็งแกร่งขึ้นเพื่อดึงดูดการลงทุนคุณภาพสูงจากต่างชาติ

เบื้องลึง “ของปลอม” โยงอาชญากรรมร้ายแรง

สินค้าลอกเลียนแบบไม่ใช่แค่เรื่องของ "ราคาถูก" ที่ดึงดูดใจเท่านั้น สำนักงานกฎหมาย Tilleke & Gibbins ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญาในกรุงเทพพบว่าสินค้าเหล่านี้มักถูกกระจายออกไปผ่าน ตลาดนอกระบบ และช่องทาง ออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

สำหรับคนจำนวนมาก การซื้อของปลอมอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีพิษมีภัย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ขาดไม่ได้ ถือเป็นโอกาสที่จะได้ของ "หรูหรา" ในราคาถูก หรือซื้อไปเพื่อสร้างรายได้เสริมจากการขายต่อ

แต่ Tilleke & Gibbins ย้ำเตือนว่า การมองว่าการซื้อของปลอมเป็นเรื่องเล็กน้อยนั้น เป็นการมองข้าม “ผลกระทบที่ใหญ่หลวงและร้ายแรง” มากกว่าที่เราคิด เพราะการปลอมแปลงสินค้าเหล่านี้ไม่ได้แค่ทำให้ธุรกิจที่ทำถูกกฎหมายเสียหาย แต่ยังส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีที่ควรจะนำไปพัฒนาประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ต้องเสี่ยงกับอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยจากสินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ การค้าของปลอมมักจะเชื่อมโยงกับอาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการค้ายาเสพติด หรือแม้กระทั่งการค้ามนุษย์ สิ่งที่คุณอาจคิดว่าเป็นการซื้อขายธรรมดาๆ ที่ไม่เป็นอันตรายอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไปหนุนให้เกิดเครือข่ายอาชญากรรมระดับโลก ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง