เปิดเบื้องหลังดีล'สหรัฐ-เวียดนาม' ทรัมป์เพิ่มภาษีนาทีสุดท้าย

เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าทำข้อตกลงการค้ากับเวียดนามสำเร็จ แต่ยังไม่มีรายละเอียดออกมา น่าสนใจว่าความจริงเบื้องหลังเป็นอย่างไร
KEY
POINTS
- ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามเป็น 20% ในนาทีสุดท้าย ซึ่งสูงกว่าที่คณะเจรจาของเวียดนามคาดการณ์ไว้มาก
- รัฐบาลเวียดนามไม่ได้ยอมรับข้อตกลงอัตราภาษีใหม่นี้อย่างเป็นทางการ
- ไม่มีการเผยแพร่เอกสารที่ลงนามแล้ว ทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าดีลสำเร็จจริงหรือไม่
- การกระทำฝ่ายเดียวของทรัมป์สร้างความไม่พอใจ และทำลายความไว้วางใจที่เวียดนามมีต่อสหรัฐในฐานะหุ้นส่วนทางการค้า ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ
เว็บไซต์ข่าว Politico รายงานอ้างแหล่งข่าววงในไม่เปิดเผยตัวตนสี่รายว่า เวียดนามคิดว่าตนเองทำข้อตกลงลดภาษีกับสหรัฐได้แล้ว จู่ๆ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ขึ้นภาษี ด้วยเหตุนี้รัฐบาลเวียดนามจึงไม่ได้ยอมรับข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ที่ทรัมป์โฆษณาไปเมื่อสัปดาห์ก่อน อ้างว่าประธานาธิบดีโต เลิม เห็นชอบในเงื่อนไขข้อตกลง
การที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเผยแพร่เอกสารข้อตกลงออกมาเลย ทำให้เกิดคำถามว่ามีการบรรลุข้อตกลงกันจริงหรือไม่ ขณะที่ทำเนียบขาวกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า การเจรจาการค้ากับคู่ค้าสำคัญอีกหลายสิบประเทศกำลังคืบหน้า
ทรัมป์ประกาศกรอบข้อตกลงกับเวียดนามผ่านแพลตฟอร์มทรูธโซเชียลเมื่อวันที่ 2 ก.ค.68 ไม่กี่วันก่อนถึงเส้นตายเจรจาการค้า 8 ก.ค.68 ถือเป็นข้อตกลงฉบับที่ 2 ที่สหรัฐบรรลุได้
ตามข้อความของทรัมป์ สินค้าส่งออกจากเวียดนามต้องถูกเก็บภาษี 20% ลดลงมากจากอัตราเดิม 46% ที่ประกาศไว้ในเดือนเม.ย. ส่วนสินค้าที่มาจากประเทศอื่นถูกเก็บภาษี 40% ขณะที่เวียดนาม "จะเปิดตลาดให้กับสหรัฐ" หมายความว่า "เราจะสามารถขายสินค้าของเราให้เวียดนามได้โดยภาษีเป็นศูนย์"
คำประกาศนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วเวียดนาม เพราะแท้จริงแล้วคณะเจรจาไม่ได้เห็นชอบในอัตรา 20% ตามข้อมูลของแหล่งข่าวคณะเจรจาเชื่อว่าภาษีควรอยู่ที่ราว 11% ตอนคุยโทรศัพท์กับเลิม ผู้ไม่ได้มีส่วนร่วมเจรจาภาษีตั้งแต่แรก ทรัมป์ไม่ได้พูดถึงตัวเลข แต่กลับประกาศตัวเลขภาษีที่สูงขึ้นเกือบสองเท่า
ล็อบบี้ยิสต์รายหนึ่งในวอชิงตันผู้ทำงานกับเวียดนาม และรัฐบาลอื่นๆ ในเอเชียกล่าวว่า หลายคนในสหรัฐก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ทรัมป์เล่นงานทุกคน” ล็อบบี้ยิสต์รายนี้กล่าวและว่า การกระทำเช่นนี้เล่นเอารัฐบาลเวียดนามตกใจ ผิดหวัง และแค้นเคือง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งแย้งว่า รัฐบาลเวียดนามรู้อัตราภาษีก่อนคุยโทรศัพท์
“ตามความเข้าใจของผมคือ ทีมการค้าทั้งสองฝ่ายตกลงกันในรายละเอียดแล้วให้ผู้นำกับผู้นำอนุมัติเป็นครั้งสุดท้าย” เจ้าหน้าที่กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งทำเนียบขาว และเวียดนามไม่มีใครเผยเอกสารข้อตกลงสุดท้ายที่สรุปอัตราภาษี ไม่มีการลงนามอย่างเป็นทางการ และไม่ทราบแน่ชัดว่าภาษีดังกล่าวจะมีผลเมื่อใดหรือมีผลหรือไม่
“มันยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอน คุณคิดว่าเจรจากันแล้วก็จริง แต่เขาสามารถกลับคำแล้วก็เปลี่ยนเงื่อนไข และกรณีนี้ดูเหมือนเขากระทำการฝ่ายเดียวแล้วประกาศต่อสาธารณะโดยที่เวียดนามไม่ได้เห็นชอบด้วย” เวนดี คัตเลอร์ อดีตรักษาการผู้ช่วยผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา ปัจจุบันเป็นรองประธานสถาบันนโยบายสังคมเอเชียในกรุงวอชิงตันให้ความเห็น
ตั้งแต่ทรัมป์ประกาศข่าวบนโซเชียลมีเดียรัฐบาลฮานอยแทบไม่พูดอะไรเลยเกี่ยวกับอัตราภาษี สื่อทางการที่รายงานเรื่องของตกลงวันที่ 2 ก.ค.68 ก็ไม่ได้กล่าวถึงการยอมรับภาษี มีแต่รายงานว่า การที่ทรัมป์โทรศัพท์คุยกับเลิมส่งผลให้เกิด “แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยข้อตกลงการค้าตอบแทนกันอย่างสมดุล และเป็นธรรม” แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวยังไม่ถูกเปิดเผย
นั่นอาจสะท้อนถึงความไม่พอใจของรัฐบาลฮานอยต่อความเคลื่อนไหวของทรัมป์ที่ทำให้ข้อตกลงเดิมผิดแผน ร่างแถลงการณ์ร่วมที่ Politico เห็นในวันที่ 2 ก.ค.68 วันเดียวกับที่ทรัมป์ประกาศดีล ร่างเงื่อนไขการค้าที่เอื้อประโยชน์ต่อเวียดนามมากกว่า เช่น ระบุถึงการลดภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนาม “ลงอย่างมาก”
ผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาคกล่าวว่า การกระทำเช่นนี้อาจบั่นทอนความพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตที่ทำกันมาหลายสิบปีหลังสงครามเวียดนาม มิพักกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการค้าที่สูงขึ้นมาก ข้อมูลทางการชี้ว่า การค้าระหว่างสองประเทศเติบโตรวดเร็วนับตั้งแต่วอชิงตัน และฮานอย ลงนามข้อตกลงการค้าทวิภาคีในปี 2001 มูลค่าการค้าเพิ่มจาก 2.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2002 มาอยู่ที่กว่า 1.39 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2022 สหรัฐนำเข้าสินค้าจากเวียดนามมากเป็นอันดับหก
“แน่นอนว่าความไว้เนื้อเชื่อใจของพวกเขาที่มีต่อสหรัฐในฐานะหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้ ที่สั่งสมมาตลอด 30 ปี ต้องเสียหายลงครั้งใหญ่ ถ้าว่ากันในแง่อิทธิพลระหว่างสหรัฐกับจีน จีนย่อมได้ประโยชน์จากเรื่องนี้” สก็อต มาร์เซียล อดีตรองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศกิจการเอเชียตะวันออก และแปซิฟิก กล่าว เขาเคยเป็นหัวหน้าแผนกการเมืองและเศรษฐกิจ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงฮานอย ระหว่างปี 1993-1996
แหล่งข่าวรายหนึ่ง และนักการทูตเอเชียคนหนึ่งเผยว่า ประเทศอื่นๆ ก็รู้เช่นกันเรื่องการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนาทีสุดท้าย และได้ปรึกษาหารือกัน ตอกย้ำถึงความไม่แน่นอนที่บรรดาคู่ค้าของสหรัฐต่างรู้สึกได้ ในขณะที่พวกเขาต้องเจรจากับประธานาธิบดีที่สามารถเปลี่ยนคำขู่เรื่องภาษีได้ตลอดเวลา
“เมื่อประธานาธิบดีทำแบบนั้น มันทำให้คู่เจรจาไม่เชื่อถือ และประเทศอื่นๆ ก็กำลังจับตา ถ้าคุณกำลังขึ้นโต๊ะเจรจากับประเทศ X แล้วคุณเพิ่งเห็นว่า ประเทศ Y ดีลได้แล้วแต่ถูกละเมิด ก็อาจพูดได้ว่า ทำไมฉันต้องเสียเวลากับคุณ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เราตกลงกันสุดท้ายแล้วจะเป็นข้อตกลง” แฮร์รี บรอดแมน อดีตผู้ช่วยผู้แทนการค้าสหรัฐสมัยรัฐบาลจอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช และบิล คลินตัน แสดงทัศนะ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







