อาเซียนในโลกหลายขั้วอำนาจ โอกาสในระเบียบการค้าโลกใหม่

อาเซียนในโลกหลายขั้วอำนาจ โอกาสในระเบียบการค้าโลกใหม่

อาเซียนเร่งบูรณาการสู้โลกหลายขั้วอำนาจ ท่ามกลางสงครามการค้าและกำแพงภาษี UOB เซ็นเอ็มโอยู Frasers ดันลงทุนอุตสาหกรรม 3 ชาติ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ด้านวงประชุมชี้ 'เวียดนาม' กลายเป็นดาวรุ่งเพราะเสถียรภาพนโยบาย Productivity แซงหน้าไทย

KEY

POINTS

  • ท่ามกลางความท้าทายจากสงครามการค้าและโลกหลายขั้วอำนาจ อาเซียนมองเห็นโอกาสในการสร้างระเบียบการค้าใหม่ผ่านการบูรณาการที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่
  • อาเซียนจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการเป็นฐานการผลิตต้นทุนต่ำไปสู่การสร้างเทคโนโลยีและบริษัทระดับภูมิภาคของตนเอง พร้อมทั้งผลักดันให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก
  • ภาคเอกชนและสถาบันการเงินกำลังลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในประเทศสำคัญ เช่น ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
  • เวียดนามกลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองในฐานะศูนย์กลางการลงทุนแห่งใหม่ของอาเซียน เนื่องจากมีเสถียรภาพทางการเมือง แรงงานมีศักยภาพ และความสำเร็จในการทำข้อตกลงทางการค้า

ความท้าทายจากสงครามการค้า นโยบายภาษีศุลกากร และโลกในหลายขั้วอำนาจกำลังเกิดขึ้นในระดับอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในที่ประชุม Asean Conference 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ภายใต้ธีม “การบูรณาการของอาเซียนในโลกหลายขั้วอำนาจ” แผงด้วยบรรยากาศกดดันของเส้นตายภาษีศุลกากร แต่ทว่าก็ยังมองเห็นได้ถึงโอกาสในระเบียบการค้าโลกใหม่เช่นกัน

ในเวทีเสวนา Ministrial Dialogue รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ “กาน คิม ยอง” กล่าวว่าธุรกิจของสิงคโปร์ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือภาษีศุลกากรที่จะคงอยู่ต่อไป โดยกำแพงภาษีที่สหรัฐสร้างขึ้นอาจจะไม่ถูกยกเลิกในเร็วๆ นี้ หรือในอีก 4 ปีข้างหน้า และธุรกิจต่างๆ ก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและการตรวจสอบที่เข้มงวด ในขณะเดียวกัน อาเซียนก็กำลังหันมาบูรณาการกันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นรวมถึงการยกระดับข้อตกลงการค้า

อาเซียนในโลกหลายขั้วอำนาจ โอกาสในระเบียบการค้าโลกใหม่

“หลิว จิน ตง” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย เน้นย้ำเรื่องความจำเป็นที่อาเซียนต้องก้าวข้ามเรื่องการผลิตต้นทุนต่ำ และลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมที่นำโดยต่างชาติ โดยอาเซียนจะต้องเริ่มคิดเกี่ยวกับการสร้างบริษัยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคและสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง ซึ่งจะทำให้ความร่วมมือ การบูรณาการ และการค้าภายในอาเซียนจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เนื่องจากประเทศสมาชิกจะต้องทำงานร่วมกัน

“เราจะยังคงพึ่งพาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและอุตสาหกรรมที่นำโดยการส่งออกต่อไปหรือไม่ หรือถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะสร้าง Huawei, Samsung หรือ Airbus เวอร์ชันภูมิภาคของเรา” รมช.มาเลเซีย กล่าว

ภาคธุรกิจแนะใช้ประโยชน์ FTA ในมือ

ในฝั่งมุมมองภาคเอกชน นายเตียว เซียง เซง ประธานสหพันธ์ธุรกิจสิงคโปร์ (Singapore Business Federation - SBF) ได้เรียกร้องให้ภาคธุรกิจก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการบูรณาการทางเศรษฐกิจของอาเซียน ภาคธุรกิจต้องแสวงหาความร่วมมือและตลาดใหม่ๆ โดยหันมาใช้ประโยชน์จาก"บรรดาข้อตกลงเขตการค้าเสรี" ที่อาเซียนมีอยู่ในมือให้มากขึ้น

ประธาน SBF ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของข้อตกลงเอฟทีเออาเซียน โดยเฉพาะความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–จีนฉบับปรับปรุง ซึ่งนับหนึ่งในความตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาคที่สำคัญที่สุดของอาเซียน ตลอดจนการมีปฏิสัมพันธ์เพิ่มขึ้นกับคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ว่าเป็นก้าวล่าสุดที่สะท้อนอย่างเป็นรูปธรรมต่อการบูรณาการและเสถียรภาพของอาเซียน
 

ต้องดัน SME เข้าซัพพลายเชนโลก

นายวี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธนาคารยูโอบี (UOB) ให้มุมมองว่า แม้จะถูกดิสรัปจากภาษีศุลกากรและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่อาเซียนก็ยังคงเป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าสนใจ และการค้าก็ยังคงเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคนี้ เช่นเดียวกับโอกาสที่ยังเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพียงแต่จะต้องเข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งของ "ซัพพลายเชน" ของโลกให้ได้ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของอาเซียน

อาเซียนในโลกหลายขั้วอำนาจ โอกาสในระเบียบการค้าโลกใหม่

ซีอีโอของกลุ่มแบงก์ใหญ่จากสิงคโปร์รายนี้กล่าวว่า โมเดลระบบอีโคซิสเต็มธนาคารของยูโอบีนั้น เป็นวิธีในการบูรณาการเอสเอ็มอีให้เข้าไปสู่ระบบฐานอุตสาหกรรมของอาเซียน โดยยกตัวอย่างเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ (JS-SEZ) ที่ทางแบงก์ได้จัดหาเงินทุนมูลค่ากว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับบริษัทมากกว่า 45 แห่ง และธนาคารยังสนับสนุนการพัฒนาซัพพลายเชนในภูมิภาคและการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียด้วย

“เอสเอ็มอีเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจท้องถิ่น พวกเขาต้องปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบธุรกิจใหม่เพื่อให้เติบโตและแข่งขันได้” นายวีกล่าว 

ยูโอบี-เฟรเซอร์ส ดันลงทุนภาคอุตสาหกรรม

ในงาน Asean Conference 2025 ครั้งนี้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจเชิงกลยุทธ์หลายฉบับระหว่างธนาคารยูโอบีกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง จีน รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นการลงนามกับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้ บมจ. เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย)  เพื่อเสริมแกร่งการลงทุนภาคอุตสาหกรรมใน 3 ประเทศอาเซียนได้แก่ ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยจะส่งเสริมโอกาสด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะธุรกิจที่มีแผนจัดตั้งหรือขยายกิจการในพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญทั่วภูมิภาค

ทั้งนี้ในรายงานการลงทุนโลกประจำปี 2568 ขององค์การการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNCTAD) ระบุว่าในปี 2567 มีเอฟดีไอไหลเข้าภูมิภาคนี้มูลค่ารวม 2.25 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 2 หมื่นล้านจากปีก่อนหน้า

"นายปณต สิริวัฒนภักดี" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด เปิดเผยกับสื่อไทยซึ่งรวมถึง กรุงเทพธุรกิจ ว่า ท่ามกลางการปรับสมดุลครั้งใหม่ของการค้าโลก และบริษัทต่างๆ เริ่มกระจายห่วงโซ่อุปทานของตนเองมากขึ้น เรากำลังได้เห็นรูปแบบใหม่ของ "โลกาภิวัตน์" ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น (resilience) และการบูรณาการในระดับภูมิภาค (regional integration) มากขึ้น

อาเซียนในโลกหลายขั้วอำนาจ โอกาสในระเบียบการค้าโลกใหม่

อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมทางการค้าใหม่นี้กลับมีความไม่แน่นอนสูงและเต็มไปด้วยเงื่อนไข เช่น การให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าในประเทศ และการปฏิบัติตามกฎแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ทว่าในบริบทนี้ "ประเทศไทย อาเซียน และเอเชียโดยรวม" ยังคงมีโอกาสได้รับประโยชน์บางส่วนจากการเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้

แม้ในระยะสั้นความไม่แน่นอนในเวทีการค้าและภูมิรัฐศาสตร์อาจทำให้เกิดความซับซ้อนและต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ในระยะยาวแล้ว ยังมองในแง่บวกต่อปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่เอื้อต่อการเติบโต การขยายตัวของเมือง และชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยสนับสนุนความต้องการบริโภคและการพัฒนาเมืองในระยะยาว

"การจะปลดล็อกศักยภาพดังกล่าวได้ ต้องอาศัยระบบนิเวศในประเทศที่แข็งแรง และระบบโลจิสติกส์ที่บูรณาการมากขึ้น โดยเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ปรับตัวเชิงกลยุทธ์จากความคล่องตัว โดยกลยุทธ์ของบริษัทเน้นแก้โจทย์ปัจจัยพื้นฐานระยะยาว และเดินหน้าลงลึกตลาดสำคัญอย่างไทย เวียดนาม และสิงคโปร์ เพื่อคว้าโอกาสจากแนวโน้มดังกล่าว" นายปณต กล่าว

ทั้งนี้บริษัทให้ความสำคัญกับกลุ่มสินทรัพย์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะอสังหาฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ซึ่งปัจจุบันมีการให้ความสำคัญกับการผลิตในประเทศและห่วงโซ่อุปทานที่ตรวจสอบย้อนกลับได้มากขึ้น ทำให้เกิดความต้องการพันธมิตรด้านอสังหาฯ ที่มีทั้งขนาด ความโปร่งใส และเครือข่ายเชิงกลยุทธ์ในระดับภูมิภาคมากกว่าเดิม

ปัจจุบัน บริษัทมีคลังสินค้าอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์เกรดสากลราว 3.8 ล้านตารางเมตร ที่เปิดดำเนินงานอยู่ในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ การร่วมทุนในไทยผ่านโครงการ ARAYA – The Eastern Gateway ยังช่วยวางตำแหน่งประเทศไทยสำหรับการคว้าโอกาสในระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงด้านการค้า โดยโครงการดังกล่าวมีพื้นที่มากกว่า 4,600 ไร่ ซึ่งจะกลายเป็นฐานสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า เวชภัณฑ์ โลจิสติกส์ และดาต้าเซ็นเตอร์

"อย่างไรก็ตาม เราตระหนักดีว่าความสำเร็จในสภาพภูมิทัศน์การค้าโลกที่เปลี่ยนไป จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว ความแข็งแรงของระบบนิเวศ และการสร้างคุณค่าในท้องถิ่นอย่างแท้จริง" กรุ๊ปซีอีโอของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กล่าว

ฟังภาคเอกชนต่างชาติ ทำไม 'เวียดนาม' ถึงเนื้อหอม

ในเวทีเสวนาย่อยรายประเทศของงานสัมมนา Asean Conference 2025 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "เวียดนาม" นับเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ถูกจับตามองมากที่สุดในฐานะประเทศเดียวของอาเซียนที่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้สำเร็จ โดยสหรัฐตกลงเก็บอัตราภาษีศุลกากรกับเวียดนามที่ 20% จากอัตราเดิมที่เคยประกาศไว้ 46% และในวงเสวนาย่อยหัวข้อ "บทบาทเชิงกลยุทธ์ของเวียดนามในเศรษฐกิจภูมิภาค" ที่มีผู้ร่วมเสวนาจากทั้งภาครัฐและเอกชน ก็มีผู้เข้าฟังอย่างคับคั่ง

อาเซียนในโลกหลายขั้วอำนาจ โอกาสในระเบียบการค้าโลกใหม่

มุมมองจากฝั่งผู้ผลิตอย่างนายเออร์นี โกะห์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทโคดา จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ แต่มีฐานการผลิตในมาเลเซีย เวียดนาม และจีน คิดว่าข้อดีของเวียดนามคือ "ความมีพลังของแรงงาน ประชากรวัยหนุ่มสาว และการขยันขันแข็งอย่างน่าทึ่ง" โดยตั้งแต่ปี 1993 ที่บริษัทเริ่มเข้าไปลงทุนและจนถึงทุกวันนี้ คนเวียดนามก็ยังคงกระหายความรู้ และมีความรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานร่วมกับบริษัทข้ามชาติ (MNC) หากต้องการให้สิงคโปร์เป็นฐานที่ตั้ง แต่ไม่ได้หวังตลาด เวียดนามเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดในอาเซียน

มุมมองภาคเอกชนอีกรายผ่านนายเบอร์นันโด เบาติสตา กรรมการผู้จัดการและผู้จัดการประจำประเทศของดีเอชแอล เอ็กซ์เพรส เวียดนาม ยกให้เวียดนามเป็นหนึ่งในห้าตลาดที่มีการเติบโตสูงสุด ตอนนี้เวียดนามได้ก้าวไปอีกขั้นแล้วและไม่ใช่แค่ห่วงโซ่อุปทานเดียว แต่ในไม่ช้านี้เวียดนามก็จะกลายเป็นห่วงโซ่อุปทานที่ต้องมี 

นายเจสัน อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท วินาแคปิทัล (สิงคโปร์) มองว่า เวียดนามมีการบูรณาการกับโลกมากในแง่ของการค้า ดูได้จาก FTA ที่มีมากกว่าสมาชิกอื่นๆ ในอาเซียน และมีความกระตือรือร้นมากในการเจรจา เช่นล่าสุดที่สามารถบรรลุดีลได้กับรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เขามองว่าเวียดนามกำลังขยับก้าวขึ้นสู่ "ห่วงโซ่คุณค่า" ในแง่ของการผลิต กำลังเตรียมการและพัฒนาการผลิตเจนเนอเรชันต่อไป โดยภาคส่วนที่น่าสนใจก็คือ "เซมิคอนดักเตอร์" เวียดนามกำลังส่งเสริมด้านนี้ในศูนย์ข้อมูล AI พื้นที่เหล่านี้มีมูลค่าสูงและต้องใช้การลงทุนจำนวนมาก 

อาเซียนในโลกหลายขั้วอำนาจ โอกาสในระเบียบการค้าโลกใหม่

สุดท้ายเวทีได้ทิ้งท้ายคำถามสำคัญก่อนจบการเสวนาว่า "ทำไมถึงเป็นเวียดนาม ทำไมไม่ใช่ประเทศไทย" 

"ถ้าตอบแบบเร็วๆ ก็คือ เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ใครมีเสถียรภาพมากกว่า" นายเกา ซวน ถาง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ของเวียดนามประจำสิงคโปร์กล่าว

ขณะที่ผู้บริหารโคดากล่าวในอีกมุมว่า หากต้องพูดตรงๆ แน่นอนว่าสำหรับประเทศคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือเวียดนาม นโยบายต่างๆ มักจะถูกผลักดันได้รวดเร็วมาก ไม่ว่าจะดีหรือแย่ก็ตาม 

"ส่วนเรื่องสภาพแวดล้อมการทำงาน เพื่อนของผมที่ทำงานในไทยบอกว่า ผลิตภาพ (productivity) ที่นั่นแย่กว่าเวียดนามมาก ก็เป็นเรื่องเชิงข้อมูลเชิงสถิติ...แต่สำหรับพวกเราที่กำลังพิจารณาลงทุนหรือขยายธุรกิจ แน่นอนว่าเราย่อมมองหาสภาพแวดล้อมที่มีเสถียรภาพมั่นคง ทั้งในด้านการเมืองและสังคม"