จีนส่งสัญญาณ ‘ยุติสงครามราคา’ หลังโดนเงินฝืดเล่นงานเกือบ 3 ปี

จีนส่งสัญญาณ ‘ยุติสงครามราคา’ หลังโดนเงินฝืดเล่นงานเกือบ 3 ปี

หลังจีนเผชิญ ‘เงินฝืด’ และ ‘สงครามราคา’ มานานหลายปี ในที่สุด รัฐบาลจีนเริ่มส่งสัญญาณแก้ไขสิ่งเหล่านี้ แต่โจทย์ใหญ่ คือ การลดอุปทานส่วนเกิน โดยไม่กระทบการเติบโต ไม่กระทบการจ้างงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หลังจากหลายปีที่ “ภาวะเงินฝืด” และ “สงครามราคา” ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจจีน ในที่สุด รัฐบาลของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็เริ่ม “ส่งสัญญาณว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหานี้”

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่าทีของรัฐบาลปักกิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดย สี จิ้นผิง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ได้ออกมาประเมินสถานการณ์แข่งขันที่รุนแรง ซึ่งฉุดรั้งราคาและผลกำไรในอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่เหล็กและแผงโซลาร์เซลล์ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า 

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ เกิดขึ้นหลังจากจีนเผชิญภาวะเงินฝืดเกือบ 3 ปี และแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าจากสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม เส้นทางข้างหน้ายังไม่ชัดเจน รัฐบาลของสี จิ้นผิง จำเป็นต้อง “จำกัดอุปทานส่วนเกิน โดยไม่ทำให้การเติบโตหยุดชะงัก หรือทำให้ตำแหน่งงานตกอยู่ในความเสี่ยง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออุปสงค์จากภายนอกชะลอตัวลง และข้อตกลงทางการค้าที่ยั่งยืนกับสหรัฐ ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะบรรลุ

เวินดี หลิว หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นเอเชียและจีนจาก JPMorgan Chase ให้ความเห็นว่า “หากดำเนินการอย่างถูกต้อง การจัดการกำลังผลิตส่วนเกินของจีน จะเป็นประโยชน์ต่อการค้าโลก ในแง่ของการผ่อนคลายความตึงเครียด ที่เกิดจากสินค้าล้นตลาด และทะลักเข้าสู่ตลาดโลก”

อย่างไรก็ตาม เธอยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายว่า “ในระยะสั้น การดำเนินการนี้อาจไม่เป็นมิตรต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือการจ้างงาน จึงเป็นเรื่องของการรักษาสมดุล”

ดันแคน ริกลีย์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจาก Pantheon Macroeconomics กล่าวว่า “แม้จะไม่ได้กล่าวถึงภาวะเงินฝืดโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกห้ามพูดถึงในปักกิ่งมา แต่การประเมินสถานการณ์ล่าสุด แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนตั้งใจที่จะจัดการกับการแข่งขันที่ไม่เป็นระเบียบ และสงครามราคาในภาคส่วนต่างๆ เช่น ยานยนต์”

ด้านกลุ่มอุตสาหกรรมและสื่อทางการ ต่างก็สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีนี้ โดยเรียกร้องให้ "ยุติสงครามราคา" มีรายงานว่าบริษัทบางแห่งในภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่เหล็กกล้า ไปจนถึงการผลิตแก้ว กำลังวางแผนที่จะลดกำลังการผลิต โดยราคาของเหล็กเส้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญในการก่อสร้าง ได้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2017 ขณะที่ราคาแก้ว ก็เคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเก้าปี

ส่วน ธนาคารกลางจีน ก็แสดงความกังวลในทำนองเดียวกัน โดยระบุว่า “ราคายังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของเศรษฐกิจในรอบหลายปี 

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้นำเสนอบทวิเคราะห์ ซึ่งเน้นย้ำถึงข้อจำกัดการพึ่งพาการผ่อนคลายทางการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้รูปแบบการเติบโตที่เน้นการลงทุนและอุปทานมากเกินไป

ในขณะที่จีนกระตือรือร้นที่จะคลี่คลายแรงกดดันด้านราคา แต่ก็มุ่งมั่นไม่แพ้กันที่จะ “เพิ่มขีดความสามารถในการผลิต” โดยรัฐบาลปักกิ่งกำลังพิจารณาแผน “Made in 2025” ฉบับใหม่ เพื่อ กระตุ้นการผลิตสินค้าเทคโนโลยีระดับสูง

นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงในระยะยาวนั้น จำเป็นต้องมีการปฏิรูปรูปแบบการเติบโตของจีน ซึ่งปัจจุบันพึ่งพาการลงทุนและการผลิตเป็นหลัก สิ่งนี้อาจหมายถึงการ ปรับเปลี่ยนวิธีการประเมินผลเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น โดยเปลี่ยนจากการเน้น “เป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ” เพียงอย่างเดียว ไปสู่การใช้ “มาตรวัดอื่น ๆ” เช่น การบริโภคและการเติบโตของรายได้

อ้างอิง: bloomberg