กูรูมองจดหมายภาษีทรัมป์ยืดเวลาต่อรอง ประเทศใหญ่ไม่ยอม

เมื่อวันจันทร์ (7 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ส่งจดหมายถึง 14 ประเทศส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย แจ้งว่าต้องถูกขึ้นภาษีในวันที่ 1 ส.ค. หากไม่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐ
KEY
POINTS
- ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการขยายเส้นตายของทรัมป์เป็นเพียงการยืดเวลาเจรจาต่อรอง และอาจสะท้อนว่าสหรัฐ มีอำนาจต่อรองไม่มากเท่าที่คิด
- ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้คาดว่าจะสามารถต้านทานแรงกดดันจากสหรัฐ ได้ดีกว่าประเทศขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐ มาก
- ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสร้างความสับสนและส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคธุรกิจในการวางแผนและจัดการห่วงโซ่อุปทาน
- ผู้เชี่ยวชาญไทยเสนอให้เพิ่มบุคลากรจากกระทรวงกลาโหมในทีมเจรจาเพื่อหารือความร่วมมือด้านการทหารและเพิ่มอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯ
เมื่อวันจันทร์ (7 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ส่งจดหมายถึง 14 ประเทศส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย แจ้งว่าต้องถูกขึ้นภาษีในวันที่ 1 ส.ค. หากไม่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐ ตามจดหมายญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐเจอภาษี 25% เช่นเดียวกับมาเลเซีย คาซัคสถาน ตูนิเซีย ขณะที่แอฟริกาใต้และบอสเนียเฮอร์เซโกวินาเจอภาษี 30% อินโดนีเซีย 32% เซอร์เบียและบังกลาเทศ 35% ไทยและกัมพูชา 36% ลาวและเมียนมา 40%
นายอมิเทนดู ปาลิต หัวหน้าแผนกวิจัยเศรษฐกิจและการค้า สถาบันเอเชียใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ตั้งข้อสังเกตว่า ชาติเล็กๆ ในเอเชียที่พึ่งพาตลาดสหรัฐเป็นอย่างมาก มีแนวโน้มต้องทำข้อตกลงให้ได้เพื่อไม่ต้องโดนภาษีของทรัมป์ เนื่องจากไม่อำนาจต่อรองกับรัฐบาลวอชิงตันมากพอ แต่ประเทศใหญ่อย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้สามารถต้านทานแรงกดดันจากสหรัฐได้มากกว่า
“เขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่กว่านำโดยจีน ไม่มีทีท่ายอมทำตามอย่างที่สหรัฐต้องการ สำหรับพวกเขาสหรัฐไม่มีตัวเลือกมากนัก” ปาลิตกล่าว
อีกหนึ่งข้อกำหนดที่คู่ค้าทางการค้าหลายรายต้องเผชิญคือการขนส่งสินค้าถ่ายลำซึ่งเป็นการถ่ายโอนสินค้าจากเรือลำหนึ่งไปยังอีกลำหนึ่งระหว่างการขนส่ง เวียดนามถูกกล่าวหาว่าเป็นฮับสินค้าถ่ายลำส่วนใหญ่เป็นสินค้าจีนเพื่อเลี่ยงภาษีสหรัฐ แม้รัฐบาลฮานอยทำข้อตกลงกับวอชิงตันได้ก็ยังเจอภาษีสินค้าถ่ายลำจากประเทศที่ 3 สูงถึง 40%
ปาลิตกล่าวด้วยว่า ถ้าภาษีมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. เป็นไปได้ว่าปริมาณการค้าจากเอเชียไปยังสหรัฐจะหดตัวลงมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เขตเศรษฐกิจในเอเชียเท่านั้นที่จะเสียหาย แต่จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก จึงไม่อาจตัดประเด็นเศรษฐกิจถดถอยในเร็วๆ นี้ออกไปได้
สตีเฟน โอลสัน นักวิชาการรับเชิญอาวุโสจากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak อดีตนักเจรจาการค้าสหรัฐ กล่าวกับแชนเนลนิวส์เอเชียว่า การขยายเส้นตายของทรัมป์ชี้ให้เห็นว่า การเจรจาไม่มีทีท่าบรรลุผลตามที่ทำเนียบขาวปรารถนา
"การเลื่อนไปเช่นนี้อาจชี้ให้คู่ค้าเห็นว่า สหรัฐกำลังตระหนักว่าตนเองอาจไม่ได้มีอำนาจมากเท่าที่คิด ถ้าเป็นอย่างนี้จริงก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับคู่ค้า โดยพื้นฐานแล้วภาษียังเท่าเดิม จดหมายก็แค่ให้เวลาไปอีกสามสัปดาห์โดยไม่มีหลักประกันว่าจะไม่ขยายเส้นตายออกไปอีก ดังนั้น วิธีการเจรจา และโอกาสของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือประเทศอื่นๆ ที่จะบรรลุข้อตกลง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก” โอลสันกล่าวและว่า กรอบเวลาภาษีที่เปลี่ยนแปลงไปสร้างความสับสนให้กับตลาด
“ผมไม่ทราบว่า (ธุรกิจ) พยายามจัดการห่วงโซ่อุปทานในหลายประเทศได้อย่างไรเมื่อพวกเขาไม่มีภาพที่ชัดเจนว่าสถานการณ์ภาษีศุลกากรจะเป็นอย่างไร ความโกลาหลและไม่แน่นอนระดับนี้ถือเป็นฝันร้ายที่แท้จริงของภาคธุรกิจ” โอลสันกล่าว
ด้าน ดร. ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศและอดีตรองเลขาธิการฝ่ายการเมืองปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ติงทีมเจรจาของไทยว่า ขาดคนจากกระทรวงกลาโหมร่วมทีม ควรให้ฝ่ายความมั่นคงร่วมทีมเจรจาด้วยจะได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางการทหารกับสหรัฐให้มากขึ้น






