‘ฟ็อกซ์คอนน์’ หารือ ‘นิสสัน’ เล็งร่วมมือผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น

‘ฟ็อกซ์คอนน์’ หารือ ‘นิสสัน’ เล็งร่วมมือผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น

"ฟ็อกซ์คอนน์" บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ของไต้หวันกำลังหารือกับ "นิสสัน มอเตอร์" เล็งร่วมมือด้านผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในโรงงานของนิสสันในญี่ปุ่นที่กำลังเสี่ยงถูกปิดตัวลงจากการเตรียมปรับโครงสร้างองค์กร

สำนักข่าวนิกเกอิเอเชีย รายงานว่า บริษัทนิสสัน มอเตอร์ กำลังเจรจากับยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์ของไต้หวันอย่างบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ เพื่อเปิดให้ฟ็อกซ์คอนน์ได้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในโรงงานของนิสสันในญี่ปุ่นที่มีความเสี่ยงถูกปิดตัวลงจากแผนปรับโครงสร้างองค์กรของนิสสัน

แหล่งข่าวจากนิสสันบอกนิกเกอิเอเชียว่า ความร่วมมือที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับโรงงานโอปปามะของนิสสันในเมืองโยโคสุกะ จังหวัดคานากาวะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น

โรงงานแห่งนี้มีพนักงานประมาณ 3,900 คน ณ สิ้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลท้องถิ่นซึ่งรวมไปถึงรัฐบาลจังหวัดคานากาวะได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโรงงานแห่งนี้ซึ่งมีความเสี่ยงถูกปิดตัวลงจากแผนปรับโครงสร้างองค์กรของนิสสัน

อย่างไรก็ดี การร่วมมือกับฟ็อกซ์คอนน์จะทำให้นิสสันสามารถปกป้องทั้งโรงงานและพนักงาน พร้อมลดค่าใช้จ่ายไปในเวลาเดียวกัน

ฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรี ต้องการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองที่โอปปามะ ในขณะที่นิสสันจะสามารถกระตุ้นอัตราการใช้งานโรงงานแห่งนี้ได้โดยการส่งสายการผลิตส่วนเกินไปให้ผู้ผลิตไอโฟน

ฟ็อกซ์คอนน์ได้ขยายธุรกิจเข้าสู่การผลิตที่เกี่ยวข้องรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็วผ่านการร่วมทุนในต่างประเทศ โดยในปี 2024 บริษัทได้ลงทุนซื้อหุ้นกว่า 50% จากธุรกิจที่ผลิตแชสซีส์ในเครือ ZF บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิ้นส่วนยานยนต์ของเยอรมนี

นอกจากนี้ยังมีการเจรจาขอใช้โรงงานโอปปามะกับนิสสันที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย

นิสสันได้ประกาศแผนลดจำนวนโรงงานประกอบทั่วโลกจาก 17 แห่งเหลือ 10 แห่งในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โดยแหล่งข่าวเผยว่าในจำนวนโรงงานทั้ง 5 แห่งในญี่ปุ่น โรงงานโอปปามะและโรงงานในเครืออีกแห่งหนึ่งที่จังหวัดคานากาวะก็เป็นหนึ่งในโรงงานที่ได้รับการพิจารณาให้ปิดตัวลง

โรงงานโอปปามะ เริ่มดำเนินการในปี 1961 และเป็นหนึ่งในโรงงานหลักของนิสสัน โรงงานนี้มีกำลังการผลิตประจำปีอยู่ที่ 240,000 คัน แต่อัตราการใช้กำลังการผลิตยังคงตกต่ำเนื่องจากยอดขายของนิสสันที่ซบเซาลง โดยบริษัทวิจัย MarkLines รายงานว่าอัตราการใช้งานโรงงานเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 40% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุนที่ 80% อย่างมาก

แต่การปิดตัวโรงงานลงเลยจะทำให้นิสสันจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานมากมาย ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ ซัพพลายเออร์ในเครือของนิสสันหลายรายยังตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ โรงงาน ดังนั้น การเปิดโรงงานต่อไปช่วยรักษาห่วงโซ่อุปทานของบริษัทได้อีกด้วย

โรงงานโอปปามะมีขนาดประมาณ 1,062 ไร่ และประกอบด้วยสถานที่ทดสอบที่สำคัญและสนามทดสอบการชน นอกจากนี้ยังมีศูนย์วิจัยและท่าเทียบเรือที่เรือบรรทุกรถสามารถจอดเทียบได้ หากปิดตัวโรงงานลง นิสสันก็จะจำเป็นต้องสร้างสนามทดสอบและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ใหม่ที่อื่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ที่เป็นปัจจัยจำเป็นต่อการเพิ่มยอดขาย

ด้านฟ็อกซ์คอนน์ได้ประกาศเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2019 ด้วยธุรกิจที่เน้นการออกแบบและผลิตรถยนต์ตามสัญญา และได้มองหาฐานการผลิตในญี่ปุ่น

ในเดือนพ.ค. ฟ็อกซ์คอนน์ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดหารถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส และกำลังเตรียมจัดหารถโดยสารไฟฟ้าให้กับ Mitsubishi Fuso Truck and Bus อีกด้วย การใช้โรงงานโอปปามะเป็นฐานการผลิตอาจช่วยให้ฟ็อกซ์คอนน์พัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นได้

ฟ็อกซ์คอนน์ได้แสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับนิสสันในงานเบื้องหลัง และฟ็อกซ์คอนน์ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฮอนด้า มอเตอร์และนิสสันเข้าสู่การเจรจาควบรวมกิจการในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา

ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นยังคงไม่ไว้ใจที่จะให้ฟ็อกซ์คอนน์เข้ามาเกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารของนิสสัน แต่หากความร่วมมือนี้ช่วยรักษาการจ้างงานได้จะทำให้รัฐบาลสามารถเข้าใจการร่วมธุรกิจได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

ท่ามกลางยอดขายที่ซบเซา นิสสันยังต้องเผชิญกับภาษีนำเข้ารถยนต์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในปีงบประมาณนี้ลดลงมากถึง 450,000 ล้านเยน (กว่า 1 แสนล้านบาท)

 

อ้างอิง: Nikkei Asia