เวียดนามจะแซงไทยปี 2572 | อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน

ผมเคยเขียนบทความไว้เมื่อ 11 ก.พ.2557 หรือเมื่อ 11 ปีที่แล้วว่าเวียดนามจะแซงไทย ตอนนี้ชัดเจนแล้วครับว่าเวียดนามจะแซงไทยในปี 2572
ผมเพิ่งกลับจากงานประชุมอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้รับเชิญไปที่นครบาคเกียง เวียดนามตอนเหนือ รวมทั้งได้เยือนกรุงฮานอยด้วย ตอนนี้เวียดนามกำลังเติบโตขนานใหญ่ มีนักลงทุนจากต่างประเทศไป “ลงแขก” กันมากมาย ทั้งจีน เกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่นรวมทั้งสหรัฐอเมริกา แต่ประเทศไทยกำลังค่อยๆ ถูกเมิน อาจมีก็แต่นักลงทุนจีน ซึ่งยิ่งมามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่ได้ทำให้ประเทศเจริญขึ้นมากนัก เพราะเงินไหลกลับจีนไปหมด
เมื่อ 50 ปีก่อน ไทยกับเกาหลียังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่เดี๋ยวนี้เขาไปไกลแทบไม่เห็นฝุ่น เช่นเดียวกับสิงคโปร์และไต้หวัน เมื่อ 40 ปีที่แล้วมาเลเซียก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าไทย แต่เดี๋ยวนี้มีรายได้ประชาชาติต่อหัวเหนือไทยถึงราวหนึ่งเท่าตัว เมื่อ 70 ปีที่แล้วย่างกุ้งและโฮจิมินห์ซิตี้ก็คงมีความเจริญทัดเทียมหรือน่าจะเด่นล้ำกว่ากรุงเทพมหานคร แต่เนื่องจากช่วงชิงอำนาจของซูเปอร์พาวเวอร์ ประเทศจึงตกต่ำกว่าไทย
เวียดนามเกิดความไม่สงบมาตั้งแต่ปี 2498 ซึ่งเป็นการรบระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ที่มีแนวคิดการปกครองต่างกันระหว่างฝ่ายสังคมนิยมและฝ่ายทุนนิยม จนสิ้นสุดในปี 2518 รวมระยะเวลาแห่งสงคราม 20 ปี อย่างไรก็ตามในช่วงต้นของสงคราม นครโฮจิมินห์ยังเป็นศูนย์กลางการลงทุนสำคัญ มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่ากรุงเทพมหานครด้วยซ้ำไป ผมเคยพบอดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศท่านหนึ่ง ยังจบปริญญาโทจากนครไซ่ง่อน (โฮจิมินห์ซิตี้)
อย่างไรก็ตามหลังสงคราม ประเทศก็ต้องอาศัยการฟื้นฟูอยู่อีกนานพอสมควร เมื่อครั้งแรกที่ผมเดินทางไปเวียดนาม เมื่อปี 2542 กรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ซิตี้ ยังถือว่าด้อยกว่ากรุงเทพมหานครเป็นอย่างมาก แทบจะไม่มีอาคารขนาดใหญ่เลย
แต่ขณะนี้มีอาคารขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมาย และยังกระจายออกไปในนครอื่นๆ ทั่วประเทศ จากการสังเกตของผมเองในฐานะที่มาเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังเวียดนามอยู่ระยะหนึ่ง และเคยมาสำรวจวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องพบว่า
1. กฎหมายที่เวียดนามแรง ทำให้ประชาชนอยู่ในระเบียบวินัยค่อนข้างเคร่งครัด ยกตัวอย่างง่ายๆ การสวมหมวกกันน็อก เขารณรงค์ให้ใส่ทีหลังไทย แต่ปัจจุบันนี้ยังจับปรับต่อเนื่อง ไม่ย่อหย่อนเหมือนประเทศไทย นอกจากนี้ใครขับรถเร็ว เลี้ยวรถส่งเดช ฝ่าไฟแดง ล้วนโดนโทษปรับหนักทั้งสิ้น
2. แม้เราได้ข่าวนักท่องเที่ยวถูกฉกกล้องถ่ายรูปบ้างในนครโฮจิมินห์ซิตี้ แต่ในเวียดนามยังมีประเพณีประชาทัณฑ์ ถ้าเจอชายใดฉกชิงวิ่งราว เมื่อถูกจับได้โดยประชาชนในละแวกนั้น ขโมย/โจรรายนั้นก็เคราะห์ร้าย เพราะจะถูกรุมประชาทัณฑ์เสียชีวิตหรือเจ็บสาหัส ดูท่าตำรวจจะมาช้า รอการประชาทัณฑ์จบก่อน รถของอาสาสมัครมูลนิธิต่างๆ ไม่ได้โฉบมาปุบปับแบบบ้านเราแต่อย่างใด
3. แม้เราได้ยินข่าวการทุจริตเป็นระยะๆ แต่เวียดนามปราบทุจริตจริงจัง ไม่มีระบบ “ดรามา” ประเภทสารภาพลดครึ่ง หรือประพฤติดีในคุกเลยได้ออกมาอย่างรวดเร็วแบบไทยๆ เพราะกฎหมายแรงนี่เอง คนที่คิดจะทุจริตจึงต้องใช้สติไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะ “หน้ามืด ตามัว” ทำการทุจริตประพฤติมิชอบ
4. ในด้านความขยันขันแข็งของประชาชน ชาวเวียดนามซึ่งคล้ายจีน ก็มักจะขยันกว่าคนไทย มีคนเป็นจำนวนมากที่มีอาชีพเสริม เป็นอาชีพที่สองในช่วงค่ำ แต่ไม่ใช่อาชีพประเภทขายประกัน ขายสินค้าขายตรง แบบบ้านเราแต่อย่างใด
คนเวียดนามมักจะรู้จักใช้เงินอย่างคุ้มค่า จัดสรรค่าใช้จ่ายได้ดี วางแผนการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ คนเวียดนามชอบการค้าขาย อยากเป็น “เถ้าแก่” แต่ไม่ใช่แบบไทยๆ ที่ออกจากงานมาเปิดร้านขายดอกไม้ หรือขายของจิปาถะแก้กลุ้ม
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียหรือข้อจำกัดของคนเวียดนามก็มี นายจ้างคนไทยมักพบว่าชาวเวียดนามดื้อรั้น (เงียบ) ไม่เข้าใจอะไร ก็ไม่ถาม แต่จะทำดุ่ยๆ ไป อย่างไรก็ตามก็มีประสิทธิภาพในการทำงานและมีความอดทนดี
5. สำหรับการโทรคมนาคมมีประสิทธิภาพสูง ชาวเวียดนามนิยมนั่งจิบกาแฟตามร้านรวงข้างถนนอยู่มากมาย ซึ่งทุกร้านที่ผมเข้าไปจิบกาแฟ หรือในภัตตาคาร ร้านอาหารก็มักมีบริการอินเทอร์เน็ตฟรี
6. การเมืองไม่ยุ่งมุ่งแต่หากิน ในเวียดนามเขายังควบคุม NGOs หรือองค์กรศาสนาซึ่งมักรับเงินจากต่างประเทศมาเคลื่อนไหว มาก่อสร้างศาสนสถาน โดยระวังไม่ให้มาตอกลิ่มความขัดแย้งแตกแยกภายในประเทศ
ย้อนกลับมาดูเรื่องการปราบปรามการทุจริตของเวียดนาม ในสมัยที่ผมเป็นที่ปรึกษาอยู่ที่กระทรวงการคลังเวียดนามในช่วงปี 2548-2549 นั้น ปรากฏมีนักบินของสายการบินเวียดนามคนหนึ่งลอบนำเครื่องเสียงเข้าประเทศ และถูกกองตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบพบ กัปตันรายนั้นถูกไล่ออกเลย ในขณะที่นักบินและผู้ให้บริการบนเครื่องบินของบางประเทศ นำสินค้าหนีภาษีเข้ามาขายจนกระทั่ง “เจ๊” รวยไปเลยก็มี
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือนักฟุตบอลเวียดนามถูกจับติดคุก 5 ปี ในฐานที่ล้มบอลให้กับประเทศอื่น ของไทยได้ยินแต่ข่าวลือและสุดท้ายกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง ปัจจุบันยังมีการดุนข้าราชการออกเพื่อให้องค์กรไม่อุ้ยอ้าย มีประสิทธิภาพ
เมื่อ 40 ปีหลังจากจบปริญญาโท ผมได้ทุนไปเรียนต่อที่เบลเยียม สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ยังจอดที่กรุงเทพมหานครก่อนบินไปยุโรป ขากลับจากยุโรปก็เช่นกัน แต่เดี๋ยวนี้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการบินแล้ว เมื่อ 20 ปีก่อนสายการบินจากยุโรปจำนวนมากจะแวะกรุงเทพมหานครก่อนต่อไปยังเวียดนาม แต่เดี๋ยวนี้เขาบินตรงแล้ว สายการบินจากยุโรปจำนวนมากยังกระทั่งบินตรงไปลงกรุงพนมเปญและนครเสียมเรียบแล้ว
ณ ปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของเวียดนามอยู่ที่ 459.472 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไทยยังนำอยู่ที่ 526.411 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในปี 2572 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า (นับจากปี 2568) เวียดนามจะแซงไทยแล้ว ทั้งนี้เพราะอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าไทยมาก อย่างไรก็ตาม รายได้ประชาชาติต่อหัวก็ยังต่ำกว่าไทยอยู่ เพราะเวียดนามมีประชากรถึง 105 ล้านในขณะที่ไทยมีประชากรราว 66 ล้านคนเท่านั้น
ที่ผ่านมา มีประชาชนชาวเวียดนาม ลาว เขมร เมียนมา มาทำงานในประเทศไทยมากมาย แต่ชาวเวียดนามลดน้อยลงไปเป็นอย่างมากเพราะประเทศของเขาเจริญขึ้นมากแล้ว ประเทศที่อาจแซงไทยในอนาคตก็คือ เมียนมา เสียดายที่มีรัฐประหาร จึงทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง ถ้าประเทศไทยมีความวุ่นวายทางการเมือง มีรัฐประหารขึ้นอีก เวียดนามก็อาจยิ่งแซงไทยได้เร็วกว่าปี 2572 เป็นแน่แท้







