‘ไทยแลนด์พาวิลเลียน’ แรงไม่แผ่ว โอซาก้า คันไซ เอ็กซ์โป 2025

นับตั้งแต่เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเมื่อวันที่ 14 เม.ย. โอซาก้า คันไซ เอ็กซ์โป 2025 (EXPO2025 OSAKA,KANSAI, JAPAN) แรงไม่มีแผ่ว
ผ่านไปสองเดือนครึ่งกรุงเทพธุรกิจเป็นหนึ่งในกลุ่มนักข่าวอาเซียนที่ได้รับเชิญจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นให้ไปร่วมงาน ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้อัพเดตบรรยากาศไทยแลนด์พาวิลเลียนไปในตัว
การเยี่ยมเยือนมีขึ้นในวันที่ 27 มิ.ย. ท่ามกลางแดดเปรี้ยงแห่งฤดูร้อน แต่ผู้ร่วมงานที่ส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นไม่ได้ถอดใจ เดินฝ่าความร้อนผ่านเจ้าช้างน้อยเข้าไปยัง Welcome Hall รองรับแขกได้รอบละ 150 คน จากนั้นเข้าสู่ตัวอาคาร เริ่มต้นจากโรงภาพยนตร์แบบ Immersive ในโซน 10 มนต์เสน่ห์ของประเทศไทย ผู้ชมตื่นเต้นกับน้องภูมิใจมาสคอตของไทยแลนด์พาวิลเลียน และทำกิจกรรมร่วมกับพิธีกรอย่างคึกคัก พิธีกรขอให้ทำอะไรก็ทำตามทุกอย่างไม่มีอิดออด ด้วยการพูดภาษาไทยด้วยคำทักทายง่ายๆ แต่กลายเป็นคีย์เวิร์ดของประเทศเราไปแล้ว นั่นคือคำว่า สวัสดี ประเทศไทย ไม่เป็นไร สบายๆ
สำหรับ 10 มนต์เสน่ห์ของประเทศไทย กรุงเทพธุรกิจไม่ต้องบรรยายให้มากความ เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเสน่ห์ของเรามีอะไรบ้าง ถัดไปเป็นโซน 100 ศักยภาพระบบสาธารณสุขไทย ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สารพัดยาสมุนไพร วัคซีนไทย รวมถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างหุ่นยนต์ดินสอ ซึ่งเป็นเอไอบริการดูแลผู้ป่วยสูงวัย มารวมกันอยู่ในโซนนี้ ตามด้วยโซน 1,000 สถานบริการทางการแพทย์ ที่ประเทศไทยขึ้นชื่อในหมู่ชาวต่างชาติเรื่องความทันสมัยในราคาเข้าถึงได้ ไฮไลต์ของโซนนี้คือการสาธิตนวดไทย ซึ่งจัดเป็นรอบๆ และต้องจองคิวล่วงหน้า แฟนนวดไทยอย่างกรุงเทพธุรกิจจึงพลาดโอกาสลอง แต่ก็ไม่เป็นไร กลับมานวดที่บ้านเราก็ได้ ปล่อยคิวให้ชาวต่างชาติได้ลองของดีประเทศไทยจะดีกว่า
ถัดมาเป็นโซน 10,000 เมนูอาหารสุขภาพ นำเสนอเมนูอาหารจานเด็ดของไทยในรูปแบบ Interactive table นำอาหารไทยไปปรับสูตรเป็นอาหารชาติอื่นได้ กิจกรรมนี้เด็กๆ ชอบมาก รวมไปถึงแบบจำลองอาหารสุขภาพจากสี่ภาคของไทย มุมนี้แม้เป็นตัวอย่างแต่ก็ทำให้น้ำลายหกได้ไม่รู้ตัว
จากนิทรรศการอาหารสู่ของจริง ครัวเปิดตั้งอยู่ถัดไปมีอาหารไทยให้ลิ้มลองพร้อมจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ระหว่างเดินชมงานอยู่นั้น กรุงเทพธุรกิจได้ยินเสียงหนุ่มไทยกลุ่มหนึ่งแสดงความเห็นกันอย่างออกรสถึงสิ่งที่ได้พบเห็นในไทยพาวิลเลียน ลองแวะเข้าไปทักทายได้ความว่า หนึ่งในนั้นคือ ผศ.ดร.อรรถเวศ บริรักษ์เลิศ จากคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พานักศึกษาสมัครใจมางานโอซาก้า คันไซ เอ็กซ์โป 2025 จำนวน 4 คน รวมถึงเพื่อนๆ อีกจำนวนหนึ่ง
อรรถเวศเล่าว่า เนื่องจากเขาสอนวิชา Experience Design (การออกแบบประสบการณ์) ซึ่งจะมีส่วนที่สอนเรื่อง exhibition ด้วย จึงเป็นโอกาสดีที่ได้พานักศึกษามาดูว่างานที่จัดแสดงให้ผู้ชมระดับสากลได้รับรู้มีลักษณะอย่างไรบ้าง
อรรถเวศวางแผนมาเที่ยวงานเอ็กซ์โปสองวัน เริ่มต้นจากไทยแลนด์พาวิลเลียนเป็นที่แรก ความคาดหวังของเขานั้น เนื่องจากธีมงานเอ็กซ์โปคือเฮลท์อินโนเวชัน ขณะที่เขาเป็นคนติดตามเทคโนโลยีทางการแพทย์มาตลอดเนื่องจากอายุมากขึ้น แถมยังมีเพื่อนหลายคนเป็นหมอ รวมทั้งในทางวิชาการไทยก็ได้รับการอ้างอิงถึงตามวารสารวิชาการด้านการแพทย์ค่อนข้างสูง จึงคาดหวังว่าประเทศไทยได้โชว์สิ่งเหล่านั้นออกมาบ้างหรือไม่
สำหรับความพึงพอใจเมื่อได้มาชมจริง อรรถเวศเผยว่า อยู่ในระดับ 50/50 ส่วนตัวเขามองว่าเหมือนคนจัดงานของไทยยังกล้าๆ กลัวๆ
“ในโซนที่เป็นเอ็กซิบิชันด้านในเนี่ย เราจะคุยเรื่องเทคโนโลยีด้านสุขภาพเยอะมากเลยแต่ว่ามันค่อนข้างกระจัดกระจายหน่อย ในขณะที่โซนด้านหน้าที่เป็นตัวอินเทอร์ลูดก่อนเข้างานนะฮะ เรายังคุยคอนเทนต์เดิมๆ เช่น เรื่องของมวยไทย อาหารไทย วัดวาอาราม ทั้งๆที่ธีมของงานมันคือเฮลท์อินโนเวชัน” อรรถเวศกล่าวและว่า คล้ายๆ กับตัวเปิดงานกับตัวคอนเทนท์หลักยังคนละเรื่องกัน แต่ในด้านเทคโนโลยีการจัดแสดงนําเสนอแสงสีเสียง ตัวสื่อปฏิสัมพันธ์ทําได้ดี การนำเสนอภาพสร้างแรงบันดาลใจและความน่าดึงดูดให้กับผู้ชมได้ดี ผู้ชมได้รับความบันเทิงไปพร้อมๆ กัน
หากมองในมุมของอาจารย์สอนสถาปัตยกรรม อรรถเวศกล่าวว่า ไทยพาวิลเลียนบริหารจัดการพื้นที่ได้ค่อนข้างดี เพราะถ้าดูตามแปลนจริงๆ ไทยพาวิลเลียนได้พื้นที่น้อย แต่กระจกด้านหน้าและการจัดพื้นที่ช่วยหลอกตาได้ว่าเราได้พื้นที่ใหญ่ขึ้น เห็นศาลาเต็มรูป ยิ่งเดินมาด้านในจัดพื้นที่ในการรองรับผู้คนได้ดี การเดินค่อนข้างโปร่ง
คุยกับผู้รู้ด้านสถาปัตยกรรมจบกรุงเทพธุรกิจออกจากไทยพาวิลเลียนไปยังด้านนอกอาคารซึ่งเป็นส่วนนิทรรศการหมุนเวียนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข วันนั้นเป็นคิวขององค์การเภสัชกรรม, อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ห้องจัดแสดงดัดแปลงจากตู้คอนเทนเนอร์ สามตู้สามองค์กร ขององค์การเภสัชกรรมหนีไม่พ้นนวัตกรรมยาทั้งหลาย ส่วน STeP นำผลิตภัณฑ์มาโชว์ทั้งที่วางขายแล้วและที่อยู่ระหว่างการวิจัย รวมถึงโชว์ VR Simulation Learning System สำหรับฝึกนักศึกษาพยาบาลก่อนลงมือกับคนไข้จริง ด้าน สปสช.นำเสนอนวัตกรรมบริการสุขภาพ เป็นการขายไอเดียว่า ประเทศไทยดูแลสุขภาพคนไทยได้อย่างไร เพราะหลักประกันสุขภาพของไทยก้าวไกลกว่าหลายๆ ประเทศ
ที่ห้องจัดแสดงของ STeP นี่เองกรุงเทพธุรกิจได้พบกับความประทับใจ เด็กชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งสนใจ VR Simulation Learning System อย่างจริงจังถึงขนาดขอสวมแว่นตา VR สำหรับนักศึกษาบ้าง ด้วยความที่หนูน้อยยังเล็กมากสวมอย่างไรก็ไม่พอดีศีรษะ แต่เจ้าหน้าที่ชาวไทยช่วยกันสวมให้น้องจนสำเร็จ ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้จาก VR ในมุมมองของเด็ก 4 ขวบ
ดูจบหนูน้อย “โทห์ นีมิ” (Toh Niimi) เล่าผ่านล่ามให้กรุงเทพธุรกิจฟังว่า น้องไปผ่าตัดมา เห็นคนนอนห่มผ้า ได้กรีด ได้ดู ได้ดึงอะไรบางอย่าง แต่น้องก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ขณะที่คุณแม่ฮารุกะ นีมิ กล่าวว่า มาไทยแลนด์พาวิลเลียน เพราะมีเพื่อนเป็นคนไทย ก็เลยสนใจอยากมาดู ที่ดูมาสนุกทุกอย่าง เธอไม่เคยไปเมืองไทยมาก่อน มาดูก็ได้ความรู้ว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร
อีกหนึ่งคนที่มาไทยแลนด์พาวิลเลียนทุกวันคือ ซาโตชิ หนุ่มโอซาก้า วัย 28 ปี บ้านอยู่ไม่ไกลจึงมาได้บ่อยๆ หลังจากไปเยี่ยมพาวิลเลียนและบูธมาทุกประเทศ เขาจึงไปตามอารมณ์วันนี้อยากไปไหนก็ไป เจ้าตัวเผยว่า สิ่งที่ชอบมากที่สุดในพาวิลเลียนไทยคือการแสดง รำไทย รวมทั้งทีเด็ดคืออาหารราคาถูก
“มีคนแนะนำว่ามาเที่ยวงานแล้วเกิดหิวขึ้นมาก็ต้องมารับประทานอาหารที่พาวิลเลียนไทย” ซาโตชิกล่าว เมนูโปรดของเขาคือข้าวเหนียวไก่ย่าง นอกจากอาหารแล้วเขายังชอบการสาธิตนวดไทย และ“นิทรรศการหมุนเวียนประจำเดือน (Living lab)” ด้านในที่รอบนี้แสดงชุดไทย ซาโตชิได้ลองสวมแล้วชอบมาก
นั่นคือสี่คนสี่มุมมองต่างเพศต่างวัยที่มีต่อไทยแลนด์พาวิลเลียน ถ้าพูดให้เป็นธรรมทั้ง 158 ประเทศและภูมิภาคที่มาร่วมงานโอซาก้า คันไซ เอ็กซ์โป 2025 ต่างงัดของดีมาโชว์กันทั้งนั้น ผู้ชมงานมากมายมหาศาลทำให้ทุกบูธทุกพาวิลเลียนต้องเข้าแถวกันยาวเหยียดไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครเหนือกว่าใคร แต่การที่งานเป็นศูนย์รวมให้ประเทศต่างๆ นำนวัตกรรมมาแสดง เปิดให้ผู้คนจากทั่วโลกได้เข้าชมถือเป็นโอกาสให้มนุษย์ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าแค่ไหนแต่ความเข้าใจของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพราะมนุษย์คือผู้ใช้เทคโนโลยี







